นายไชยเวช สันที ปม.4/1(ค้าง)

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผลสำรวจเผยวัยรุ่นไทยแชมป์ฮัลโหลในเอเชีย

จากความคิดเห็นดังกล่าว กระผมมองว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยขอเลื่อมจากข้อดีก่อน
วัยรุ่นไทยส่วนมากนิยมพกโทรศัพท์มือถือมากกว่าชาติอื่นในเอเชียทำให้ยอดการขายมือถือพุ่งเร็วโดยผู้ประกอบการได้รับผลกำไรมากจึงต้องแข่งขันกับมือถือยี่ห้ออื่นเพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นให้หันมานิยมใช้แบรนด์ของตนซึ่งจะดีมาก ทำให้เศรฐกิจมีความเจริญผลิตภัณท์ต่างๆที่เกี่ยวกับมือถือจึงได้รับความนิยมตามไปด้วยกระผมมองว่าในอนาคตเราอาจจะได้สสัมผัสเทคโนโลยีที่สูงกว่านี้ก่อนใครในแถบเอเชียเพราะมือถือในบ้านเราได้รับความนิยมมากนั่นเอง
สำหรับข้อเสียที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าวัยรุ่นติดโทรศัพท์กันงอมแงม บางคนพกมากกว่าหนึ่งเครื่องและหลายคนเปลี่ยนหมายเลขมือถือหรือเปลี่ยนซิมมากกว่าสองครั้งทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายไปอย่างไร้ประโยชน์ทั้งที่ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ และบางครั้งก็เกิดอันตรายขึ้นได้สำหรับสาวๆเนื่องจากเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายทำให้คนบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มเสี่ยงกลุ่มนี้ เช่นแชทกันแล้วให้เบอร์และนัดเจอกันทำให้ส่วนใหญ่เกิดปัญหาการข่มขืนหรือการแพร่เชื้อเอดส์และอื่นๆได้ ทั้งที่ปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆแต่มักจะไม่ได้รับการแก้ไขเอาเสียเลยปํญหามันจึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เทคโนโลยี่มีทั้งดีและร้ายหากใช้ในทางประโยชน์ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดหากใช้ในทางที่ผิดประเทศชาติล่มจมแน่นอน
ชื่อ นายไชยเวช สันที
ปม. 4/1

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 10


Percy Jackson คริส โคลลัมบัส เอาอีกแล้ว!

หนังเรื่องนี้ทำมาจากนิยายขายดีของทางฝั่งอเมริกาในชื่อนิยายชุด Percy Jackson เช่นเดียวกับชื่อหนัง แต่งโดยริค ริออร์แดน ตีพิมพ์เล่มแรกเมื่อปี 2005 ก่อนที่จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า(เช่นเดียวกับนิยายแฟนตาซีรุ่นพี่ที่ถูกจับมาทำหนังก่อนหน้านี้) ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเล่มภาคต่อตามออกมาหลายเล่ม ไม่รู้ว่ามีแปลเป็นไทยรึยังเหมือนกัน
ผู้กำกับก็เป็นที่ตุ้นเคยกันดีแน่นอนสำหรับคอหนังเด็กและหนังแฟนตาซี คริส โคลัมบัส ผู้กำกับจากหนัง Home Alone ภาค 1 และ ภาค 2 และจาก Harry Potter ภาค 1 และภาค 2 สองเรื่องแรกได้รับคำชมไปมากมาย ส่วนสองเรื่องหลังแม้จะทำรายได้ถล่มทลาย แต่กลับเป็นหนังที่ดูไม่ค่อยสนุก เพราะอย่างกับว่าตัดฉากและบทพูดจากหนังสือมาแปะต่อๆกัน ทำให้หนังดูรายละเอียดเยอะเกินไป และเรื่องราวโดยรวมสำหรับคนที่ไม่อ่านหนังสือ ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร ซึ่งกับ Percy Jackson นี้ ผมก็หวั่นใจเหมือนกันว่า ตาคริสจะทำเช่นนั้นอีก แต่เอาน่า รอบนี้แกอาจจะกล้าคิดกล้าทำมากกว่าเดิมก็ได้
หนังเปิดเรื่องด้วยการเจรจาพาทีระหว่างเทพโพไซดอนและซีอุส(หรือซุส) สองเทพในตำนานของกรีก โดยซีอุสกล่าวหาว่า บุตรชายของโพไซดอนขโมยสายฟ้า(Lighting Bolt) ของซีอุสไป โดยสายฟ้าเป็นอาวุธที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถทำลายโลก ทะลวงสวรรค์ได้ทีเดียว ซีอุสได้ประกาศว่า ถ้าภายใน 14 วัน โพไซดอนยังหาสายฟ้ามาคืนไม่ได้ เกิดสงครามครั้งใหญ่แน่จากนั้นหนังก็พามาพบกับพระเอกของเรื่อง เพอร์ซี่ แจ็คสัน(รับบทโดย โลแกน เลอร์แมน เจ้าหนุ่มนักเล่นเกมส์หน้าอ่อนจากเรื่อง Gamer) ที่เปิดมาก็เดาได้เลยว่าลูกใคร เพราะฉากแรกพี่แกก็แก้ผ้าใส่บอกเซอร์ดำน้ำโชว์แล้ว เพอร์ซี่เด็กหนุ่มผู้ดำน้ำอึดเป็นเลิศ แต่เป็นโรคอ่านหนังสือไม่ได้(เป็นโรคฮิตโรคหนึ่งในอเมริกา ชื่อเป็นทางการคือ Dyslexia) และเป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งสาเหตุก็ไปตามดูกันเอาเองเน้อ ว่าทำไมเพอร์ซี่ถึงเป็นโรคพวกนี้
การเปิดเรื่องไปจนถึงช่วงก่อนที่เพอร์ซี่ แจ็คสันจะได้พบกับความจริงว่าเขาเป็นใคร กำลังเผชิญกับอะไรนั้น ผมชอบมากๆครับ ดำเนินเรื่องราวได้น่าติดตาม สำหรับผมการดำเนินเรื่องช่วงแรกนั้นไม่แพ้ Spider Man ภาคแรกเลยทีเดียว แต่พอมาช่วงการต้อนรับพระเอกเข้าสู่โลกใหม่ (เช่นตอนพอตเตอร์เริ่มเข้าฮอกส์วอร์ต พาร์คเกอร์เริ่มฝึกใช้ใยแมงมุม) ผมดูไปพร้อมกับคิดในใจว่า “ตาคริส โคลัมบัส เอาอีกแล้วแน่ๆ” เพราะหนังเริ่มดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วแบบไม่ปะติดปะต่อเลย ซึ่งผมขอเดาว่าฟอร์มเดียวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกแน่ๆ เดี๋ยวขับรถ เดี๋ยวเข้าค่าย เดี๋ยวไม่เก่ง เดี๋ยวเก่งเลย เดี๋ยวหนีออกจากค่าย เนื้อเรื่องสับสนงงงวยไปหมด
จากนั้นหนังก็เข้าสู่องค์ที่สอง ก็คือช่วง The Lord of the Rings โดยเพอร์ซี่และผองเพื่อนรับบทเป็นโฟรโดกับแซมกลายๆ แต่เป็นการตามหาลูกแก้ววิเศษแทน ก็ไปเจอกับเมดูซ่า เจอกับสัตว์ประหลาดไฮดรา เจอกับเผ่ากินดอกบัว ก่อนที่จะเจอกับฮาเดส ราชานรก ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละช่วงนั้น ก็สนุกเฉพาะในช่วงนั้นๆ แต่พอต่อไปอีกช่วง ที่เจอศัตรูตัวใหม่ก็เหมือนเริ่มใหม่หมดเลย ซึ่งคงโทษใครไม่ได้นอกจากผู้กำกับกับมือเขียนบท ที่ให้ความเคารพกับนิยายมากเกินไป จนน่าจะรักพี่เสียดายน้องจับยัดๆมาให้หมด ผลสุดท้ายหนังเลยสนุกไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควรช่วงไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้จับไม่ถูกเลยครับ สำหรับผมอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างฮาเดสกับเพอร์ซี่ แต่สำหรับผู้กำกับน่าจะอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างเพอร์ซี่กับผู้ขโมยสายฟ้าตัวจริง ซึ่งผมคิดว่าพาไปไม่ถึงจุดลุ้นระทึกอย่างที่ควรจะเป็นเท่าไร สรุปแล้วคริส โคลัมบัสไม่น่าจะเหมาะกับการกำกับหนังจากวรรณกรรม นิยายต่างๆที่เขาชื่นชอบครับ เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่ใจไม่เหี้ยมเลย ไม่กล้า ไม่อยากตัดนู่นตัดนี่ โดยไม่ดูองค์ประกอบของผลงานโดยรวมเท่าไร ซึ่งผลก็คือ เขาอาจจะนำโลกจากหนังสือ มาปรากฏในโลกภาพยนตร์ได้ครบถ้วน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือนิยายที่เขาหยิบมาทำ หนังของเขาจะดูไม่สนุกเท่าไร เพราะเหมือนกับดูสารคดีมากกว่า
Percy Jackson น่าจะประสบความสำเร็จในด้านรายรับในระดับหนึ่ง เพราะมีแฟนๆหนังสือติดตามมา รวมทั้งนิยายแฟนตาซีของอเมริกันพันธุ์แท้เช่นนี้มีน้อย ทำให้ชาวอเมริกันคงช่วยกันสนับสนุนกันพอสมควร แต่ผมเดาว่ารายได้คงไม่เกินหน้านาร์เนียร์แน่ๆ ยิ่งพอตเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
สำหรับดารานำแล้ว หนังเรื่องนี้เหมือนกับเปิดตัวดาราวัยรุ่นคนใหม่
Logan Lerman ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ในวงการฮอลลีวู้ดมาครบ 10 ปีแล้ว หนังของเจ้าหนุ่มนี่ที่ผมเคยดูก่อนหน้านี้ก็คือ The Patriot (2000) , The Number 23 (2007) และ Gamer (2009) โดยบทบาทในเรื่องนี้ก็ไม่ขี้เหร่เท่าไร แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าไรเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ หมอนี่ได้โชว์หล่อ โชว์หุ่นเต็มที่ครับ ซึ่งก็น่าจะเป็นบันไดสู่ก้าวต่อไปได้แน่นอน
สองนักแสดงวัยรุ่นฝ่ายชายในยุคนี้ก็คงคือเจ้าหนุ่ม Logan Lerman นี้ และอีกคนที่ทุกคนคงรู้จักกันดีก็คือ Freddie Highmore ซึ่งทั้งคู่โตไปคงหน้าตาไม่แตกต่างไปจากนี้เท่าไร ถ้าไม่เสียคนไปก่อนก็น่าจะยืนหยัดในวงการได้อีกนาน อย่าให้โตมาแล้วหน้าประหลาดเหมือนอย่าง Haley Joel Osmant (The Sixth Sense, A.I.) หรือ Mcculley Culkins (Home Alone) ก็แล้วกัน

Reccord Sound:นำเสนอโปรเจ็ค

คลิ๊กที่นี่

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

แบบโปรเจ็ค"ดาวเคราะห์แคระ"






















ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 9


หนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค:เผยความลับราชตระกูลตุตันคามุน

เมื่อปี 2005 การทำซีทีสแกนมัมมี่ของตุตันคามุนทำให้เราทราบว่า พระองค์หาได้สิ้นพระชนม์จากการถูกตีหรือถูกของแข็งกระแทกที่พระเศียรอย่างที่หลายคนเชื่อกัน ผลการวิเคราะห์ทำให้เราทราบว่า รูที่ด้านหลังกะโหลกพระเศียรเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำมัมมี่ นอกจากนี้ผลการศึกษายังชี้ว่า ฟาโรห์พระองค์นี้สิ้นพระชนม์ในวัยเพียง 19 พรรษา และอาจเกิดขึ้น ไม่นานหลังหลังจากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บจากพระเพลาข้างซ้ายหัก มาวันนี้ เราได้ศึกษามัมมี่ของพระองค์อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น จนค้นพบข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับพระประวัติ กำเนิดชาติสกุล และวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
การวิเคราะห์ดีเอ็นเอของตุตันคามุน รวมทั้งดีเอ็นเอของมัมมี่อื่นๆอีก 10 ร่างที่สันนิฐานว่าเป็นพระประยูรญาติใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 ในห้องปฏิบัติการล้ำสมัยซึ่งตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะสองแห่ง แห่งแรกที่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโรแห่งที่สองที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยไคโร
เรารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่ามัมมี่ 4 ร่างจากทั้งหมดเป็นใครบ้าง หนึ่งคือฟาโรห์ตุตันคามุนซึ่งพระศพยังอยู่ที่สุสานในหุบผากษัตริย์ ส่วนอีกสามร่างจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ ได้แก่ ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ยูยาและทูยู ผู้เป็นบิดาและมารดาของพระนางไทยี ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ในฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ส่วนมัมมี่ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นั้นประกอบด้วยชายที่พบในสุสานลึกลับแห่งหนึ่งในหุบผากษัตริย์ที่เรียกกันว่า เควี 55 (KV55) ทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดีและลายลักษณ์อักษรชี้ไปในทางที่ว่า มัมมี่ร่างนี้น่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตนหรือไม่ก็สเมงห์คาเรผู้ลึกลับ
ขณะที่การสืบหาพระมารดาของตุตันคามุน ทีมงานพุ่งเป้าไปที่มัมมี่หญิงนิรนาม 4 ร่าง สองร่างในจำนวนนี้ที่เรียกกันว่า “สตรีผู้สูงวัย” (Elder Lady) และ “หญิงสาวผู้อ่อนเยาว์” (Younger Lady) ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ส่วนอีกสองร่างเป็นมัมมี่เพศหญิงที่พบในสุสานขนาดเล็ก (เควี 21) ในหุบผากษัตริย์ และท้ายที่สุด เราจะพยายามสกัด ดีเอ็นเอจากซากทารกในครรภ์สองร่างที่พบในสุสานตุตันคามุน ซึ่งดูไม่น่ามีความหวังนัก เนื่องจากมัมมี่ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก แต่ถ้าทำสำเร็จ เราอาจค้นพบชิ้นส่วนที่ขาดหายของปริศนาแห่งราชวงศ์ที่ยาวนานถึงห้าชั่วคน
นักพันธุศาสตร์จะทำการสกัดเนื้อเยื่อจากหลายๆจุดทั่วร่างของมัมมี่ โดยมักเจาะลึกลงไปในกระดูก เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีการปนเปื้อนจากนักโบราณคดีรุ่นก่อนๆหรือนักบวชผู้ทำมัมมี่ หลังจากสกัดตัวอย่างเสร็จแล้ว ดีเอ็นเอจะถูกนำไปสกัดแยกสารประกอบที่ไม่พึงประสงค์ รวมทั้งขี้ผึ้งและยางไม้ที่นักบวชใช้ในการรักษาสภาพศพ
นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่า พระบิดาของตุตันคามุนน่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจตัดสเมงห์คาเรผู้ลึกลับทิ้งได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงพอ แต่กระนั้น น้ำหนักของหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และการเปรียบเทียบลำดับเวลาก็ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางฟาโรห์อเคนาเตนมากกว่า
การสืบหาความสัมพันธ์ทางสายพระโลหิตทำได้จากการแยกดีเอ็นเอของมัมมี่ ตามด้วยกระบวนการเปรียบเทียบโครโมโซมวายของอเมนโฮเทปที่สาม หรือมัมมี่เควี 55 กับตุตันคามุน เพื่อหาความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม (เพศชายที่มีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติจะมีรูปแบบดีเอ็นเอในโครโมโซมวายเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะจีโนม (กลุ่มยีน) ในเซลล์ของผู้ชายส่วนนี้ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากพ่อ) แต่หากต้องการระบุความสัมพันธ์ที่แม่นยำ ต้องอาศัยกระบวนการตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (genetic fingerprinting) ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ด้วยการเปรียบเทียบตำแหน่งความแปรผันของรูปแบบการเรียงตัวอักษรดีเอ็นเอ ได้แก่ตัว เอ, ที, จี และซี ที่รวมกันเป็นรหัสพันธุกรรมเพียงแปดตำแหน่ง ก็เพียงพอให้ทีมงานวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่มากกว่าร้อยละ 99.99 ว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สามเป็นพระบิดาของมัมมี่นิรนามที่พบในสุสานเควี 55 ซึ่งเป็นพระบิดาของตุตันคามุนอีกทอดหนึ่ง
แล้วใครคือพระมารดาของตุตันคามุนกันเล่า พวกเราประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่า ดีเอ็นเอของหญิงสาวผู้อ่อนเยาว์ (เควี 35 วายแอล) ที่พบเคียงข้างพระศพของพระนางไทยีในสุสานย่อยภายในสุสานของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม (เควี 35) ตรงกับของยุวกษัตริย์ ที่น่าประหลาดใจขึ้นไปอีกคือ ดีเอ็นเอของมัมมี่ดังกล่าวยังชี้ว่าพระนางเป็นพระธิดาในอเมนโฮเทปที่สามกับพระนางไทยี ผู้เป็นพระราชบุพการีของอเคนาเตนเช่นกัน นั่นหมายความว่าอเคนาเตนทรงมีพระโอรสกับพระภคินีร่วมสายพระโลหิต (พี่น้องแท้ๆ) และโอรสพระองค์นั้นก็คือตุตันคามุน
การค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า ทั้งพระมเหสีเนเฟอร์ตีติและพระชายาคิยาในฟาโรห์อเคนาเตน ไม่น่าจะเป็นพระมารดาของตุตันคามุน เพราะไม่มีหลักฐานจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า ทั้งสองพระองค์เป็นพระภคินีร่วมสายพระโลหิตกับอเคนาเตน แม้การสมสู่ร่วมสายโลหิต (incest) จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในหมู่สมาชิกราชวงศ์อียิปต์โบราณ แต่ผมเชื่อว่าในกรณีนี้ส่งผลต่อการสิ้นพระชนม์แต่วัยเยาว์ของพระโอรสผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งสองพระองค์

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 8


นิตยสารต่วย’ตูน รายเดือน หาซื้อได้ทุกแผงหนังสือทั่วประเทศ

โลดลิ่วสู่อนาคต เลี้ยวลดสู่อดีตกาล โชติช่วงชัชวาลด้วยคุณภาพสนใจโฆษณาภายในนิตยสารต่วยตูน ติดต่อโทร. 0-2965-0100, 0-2965-1511
นิตยสารต่วย’ตูนพิเศษ วางจำหน่าย ทุกต้นเดือน ราคา 80 บาทบรรณาธิการบริหาร วาทิน ปิ่นเฉลี่ยวบรรณาธิการ อุดร จารุรัตน์ (เยี่ยมชมเว็บไซต์ของบรรณาธิการที่
www.udorn.net)บรรณาธิการฝ่ายศิลป์ พลพันธ์ หัทยาฝ่ายกราฟิก สุนทรี วรารักษพงษ์ประสานงานกองบรรณาธิการ ประลองพล เพี้ยงบางยางฝ่ายสมาชิก ภัทยา บุญปั้น, เกตุแก้ว แทนเคน โทร.0-2514-4071-3 ต่อ 110ผู้จัดทำ บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด 559/3 มาริชเพลส ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310 โทร. 0-2514-4071-3 โทรสาร. 0-2514-4074 อีเมล p.vatin@gmail.comพิมพ์ที่ บริษัท พี.วาทิน พรินติ้ง จำกัดผู้พิมพ์โฆษณา นายดล ปิ่นเฉลี่ยว บริษัท พี.วาทิน พรินติ้ง จำกัด โทร. 0-2965-0100, 0-2965-1511 โทรสาร. 0-2965-1510ผู้จัดจำหน่าย เพ็ญบุญ ถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ โทร. 0-2615-8625-3นิตยสารต่วย’ตูน เปิดโอกาสสำหรับข้อเขียนต่างๆ อาทิเช่น เรื่องประหลาดไทย, เกร็ด, บันทึกอาถรรพณ์, อะไรก็ได้, ตำนานปิศาจพื้นบ้าน และประสบการณ์ปิศาจ ที่มีเนื้อหาและสาระสอดคล้องกับแนวของหนังสือ ด้วยความยาวประมาณ 3-4 หน้ากระดาษพิมพ์ พร้อมทั้งแนบไฟล์งานและรูปประกอบมาด้วย (ถ้ามี) ทุกเรื่องที่ได้รับการลงพิมพ์เผยแพร่ จะได้รับค่าตอบแทนตามความเหมาะสม เชิญทุกท่านขยับเมาส์เข้ามาคุยกันนะครับที่ http://raktuaytoon.pantown.com ส่งต้นฉบับไปที่... นิตยสารต่วยตูน บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด 559/3 มาริชเพลส ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310


วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 7


หนังสือดี : ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่มีแนวคิดและมีการค้นพบทฤษฎีต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกลับและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ และลบล้างความเชื่อเก่าๆ ลงโดยสิ้นเชิง การค้นพบของพระพุทธเจ้าเป็นการค้นพบทางนามธรรม ยากต่อการพิสูจน์ แต่การพบทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็น สสาร พลังงาน จักรวาล ปรมาณู การยืดหดของเวลา เป็นต้น ของไอน์สไตน์ กลับช่วยให้การค้นพบส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้รับกา รพิสูจน์และยืนยันทางคณิตศาสตร์อย่างไม่น่าเชื่อเนื้อหาของหนังสือแบ่งเป็น ๑๐ บท มีรายละเอียดอย่างคร่าวๆ ดังนี้บทที่ ๑ “ทำไมต้องไอน์สไตน์” ผู้เขียนปูพื้นฐานให้ผู้อ่านทราบประวัติชีวิตของไอน์ สไตน์ พร้อมทั้งทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านั้น ของนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ท่านจนมาถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพอันลือลั่นของไอน์สไตน์บทที่ ๒ “จักรวาลกับพุทธศาสนา” แม้พุทธศาสนาจะบอกไว้ว่า เรื่องความเร้นลับของจักรวาลเป็นเรื่องอจินไตยไม่ควร คิด แต่ความรู้ทางพุทธศาสนาก็ปรากฏเรื่องราวเหล่านี้อยู่ หลายแห่ง และตรงกับการค้นพบและการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์สมั ยใหม่เรื่อยมา ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องพิศวงว่าพระพุทธเจ้าทราบคว ามรู้เหล่านี้มาก่อนได้อย่างไรบทที่ ๓ “ทฤษฎีสัมพัทธภาพ” ทฤษฎีอันลือลั่นของไอน์สไตน์ ที่ขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง เช่น เรื่องความเร็วของแสงที่คงที่เสมอ และไม่มีสิ่งใดไล่ทันความเร็วของแสงนี้ได้ แต่แสงก็ตกอยู่ภายใต้กฏของแรงโน้มถ่วง ดังนั้นจึงเดินทางเป็นเส้นโค้งได้ ตามแรงโน้มถ่วงของดวงดาว หรือไอน์สไตน์พิสูจน์ให้เห็นว่า เวลาสามารถยืดหด และเดินช้า เดินเร็วได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่แต่ละแห่ง เช่นเวลาของคนที่อยู่บนยานในอวกาศที่เดินทางด้วยความ เร็วสูงจะเดินช้ากว่าเวลาของคนอาศัยอยู่บนโลกบทที่ ๔ “อนัตตาภายในอะตอม” นอกจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์แล้วยังมีทฤษฎีควอ นตัมซึ่งทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายส่วนที่เล็กที่สุดที่บรรจ ุอยู่ภายในอะตอม อันเป็นการช่วยยืนยันว่า ไม่มีสิ่งใดคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงเสมอบทที่ ๕ “พุทธกับวิทยาศาสตร์” วิทยาศาสตร์เน้นในเรื่องของเหตุผล หลังจากการพิสูจน์ข้อเท็จจริงหลายๆ อย่าง พบว่าตรงกับความรู้และคำสอนทาง================================================== =========ไม่ได้คลั่งศาสนา แล้วยกว่าพระพุทธเจ้าเหนือ อะไรนะครับ แต่แค่บอกว่ามันน่าสนใจมากครับ สมควรที่คนพุทธหลายคนควรอ่านมาก เพราะพุทธศาสนามีความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวอยู่แล ้ว แค่บอกว่า "ความจริงเป็นยังไง เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถิด".............................................อยากให้บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่ก่อม็อบเลิกได้แล้วครับ แค่ให้ศาสนาอยู่ในแผ่นกระดาษต้องอุตส่าห์มาร้อนหนาว และออกนอกแก่นแท้ของพุทธที่ไม่ยึดติดกับตัวตนเชียวหร ือครับ .... เอาเวลาไปศึกษาธรรมะแล้วเผยแผ่พุทธศาสนาที่ตอนนี้มั่ วไปหมดปนกับพราหณ์ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ - -' ....พูดตามตรง ตอนนี้หนังสือธรรมะบางเล่มที่คนธรรมดาแต่ง อ่านแล้วยังมีคุณค่ามากกว่าฟังพระท่านเทศน์อีกนะครับ พระบางองค์กล่าวเรื่องทำบุณมากได้มาก ทำน้อยได้น้อยซึ่งไม่จริงทั้งสิ้นครับ แต่เพราะงี้ไงครับ ชาวบ้านถึงงมงายเอาแต่ทำบุญ แค่ตัวเองเอาไปเลี้ยงยังไม่มีปัญญาเลย - -'' แถมยังเอาตังไปซื้อพระเครื่อง หวังรวยโชคลาภ ...ไม่จริงทั้งสิ้นครับถ้าคนเหมือนต้นไม้ ถ้าขาดทั้งพรวนดิน ทั้งปุ๋ยและน้ำ ก็ไม่มีวันโตเป็นต้นใหญ่ที่งอกงามไดด้หรอกครับจะทำบุญอย่างเดียวไม่ทำมาหากิน(รดน้ำอย่างเดียวไม่พร วนดิน) จะไปรอดได้อย่างไร จริงไหม เขียนบทความโดยคุณ Shuu คุง

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่6


เปิดตัวให้สาวก แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตั้งตารอต่อไป สำหรับวรรณกรรมเยาวชนเล่มจบ ตอนที่ 7 ชื่อ "แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอนด์ เดอะ เดธลี่ ฮัลโลวส์" โดยสำนักพิมพ์บลูมสบิวรี ปกที่มีรูปแฮร์รี่ พอตเตอร์เดี่ยวๆ จะวางขายในอเมริกา ส่วนอีก 2 ปก วางขายในอังกฤษ ปกที่เป็นรูปล็อกเกตมีสัญลักษณ์เลื้อยเป็นตัวเอส เชื่อว่าเป็นฮอร์กรักซ์ ที่เก็บดวงจิตของลอร์ด โวลเดอร์มอร์ สำหรับผู้ใหญ่
ส่วนปกสำหรับเด็ก เป็นรูปตัวละครเอก แฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วิสลีย์ ในวัยรุ่น ทุกปกจะวางขายหลังเที่ยงคืนวันที่ 21 ก.ค. นี้ (ภาพ-เอพี)
ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 5

หนังสือพระเครื่อง "99 เหรียญ บูชามหานิยม"

เดือนตุลาคม 2551 กองบรรณาธิการข่าวสด ผู้นำเสนอข่าวสารด้านธรรมะและพระเครื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ได้จัดพิมพ์หนังสือ "สุดยอด-อมตะ 109 เหรียญมงคล" จากแนวคิดในการรวบรวมข้อมูลสุดยอดเหรียญมงคลชื่อดังของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเหรียญ ตำหนิ ประวัติ ประสบการณ์ความขลัง พร้อมปูมประวัติ พระเกจิฯ พระเถระ ผู้สร้าง ตั้งแต่รุ่นคลาสสิคอายุมากกว่า 100 ปี พ.ศ.2440-2485 มีเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ พิมพ์ขอเบ็ด, เหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เหรียญหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา พ.ศ.2460 เป็นต้น

99 เหรียญ บูชามหานิยมนอกจากข้อมูลประวัติความเป็นมาของเหรียญ ลักษณะองค์ประกอบต่างๆ ของเหรียญ ความรู้เรื่องพระอาจารย์รูปต่างๆ ที่โด่งดังแล้ว ยังมีข้อมูลจากอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ มาอธิบายความเป็นมาของเหรียญพระ

"ต้น ท่าพระจันทร์" หรือ "ณัฐพงษ์ ชวาลรัตนสกุล" ผู้ชนะแฟนพันธุ์แท้พระเหรียญ และ "บอย ท่าพระจันทร์" หรือ "อรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย" ผู้คร่ำหวอดที่ในวงการเหรียญพระตัวจริง มาเผยถึงวิธีการตรวจสอบพระเครื่องประเภทเหรียญว่าองค์ใดเป็นของจริงของปลอม การเช่าหาบูชา การศึกษาสภาพเหรียญ การเก็บรักษาเหรียญ เป็นต้น

ด้วยการค้นคว้ารวบรวม และนำเสนอให้เข้าใจได้ง่าย เพื่อให้บรรดาเซียนพระทั้งหลายในวงการ หรือนักสะสมหน้าใหม่ ได้ไว้เป็นคู่มือเบื้องต้น ทำให้หนังสือ "สุดยอด-อมตะ 109 เหรียญมงคล" เล่มนี้ ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากท่านผู้อ่าน จนได้รับการตีพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 7 แล้ว

ประกอบกับผู้สนใจและผู้อ่านจำนวนไม่น้อย ได้แสดงความเห็นมาว่า ข่าวสดน่าจะทำหน้าที่รวบรวมเหรียญมงคลหรือเหรียญที่ได้รับความนิยม ที่นอกเหนือจากที่ได้รวมเล่มไปแล้ว

เพื่อขยายขอบเขตการศึกษาเหรียญมงคล ให้กว้างขวางมากขึ้นไปอีก และมีลักษณะร่วมสมัยมากขึ้น

ด้วยเหตุที่ว่าใน 109 เหรียญ เนื้อหาเน้นหนักไปที่เหรียญมงคลรุ่นอมตะและคลาสสิค ล้วนแต่เป็นเหรียญประวัติศาสตร์ เก่าแก่และหายาก หลายรุ่นมีราคาเช่าสูงถึงราคาหลักแสนหลักล้าน ผู้ครอบครองเห็นคุณค่าและหวงแหน คนธรรมดาทั่วไปแม้จะมีศรัทธาหรือแม้แต่มีกำลังทรัพย์ แต่ไม่สามารถหาเช่าบูชาได้

ขณะเดียวกัน ยังมีเหรียญยอดนิยมอีกเป็นจำนวนมากที่จัดสร้างขึ้นใหม่ในรอบระยะเวลา 40-50 ปีที่ผ่านมา โดยพระเกจิอาจารย์อีกรุ่นหนึ่ง ที่สืบทอดวิชามาจากพระเกจิโบราณาจารย์ ผู้ล่วงลับหรือชราภาพไปตามกฎอนิจจัง

ถือเป็นเหรียญร่วมสมัย เหรียญแห่งปัจจุบัน ที่สำคัญคือเหรียญเหล่านี้ยังมีการหมุนเวียนเปลี่ยนมือระหว่างผู้ที่นับถือ เลื่อมใสอยู่อย่างคึกคัก

กองบรรณาธิการข่าวสด จึงสนองตอบความต้องการดังกล่าว ด้วยการดำเนินการรวบรวมเนื้อหาเหรียญยอดนิยมที่อยู่ในลักษณะดังกล่าว จัดให้เป็นหมวดหมู่ในชื่อ "99 เหรียญ บูชามหานิยม" สำหรับผู้ที่สนใจใฝ่รู้และผู้ที่นิยมสะสมบูชาเหรียญมงคลที่จัดสร้างในวาระ ต่างๆ กัน ได้เก็บเอาไว้เป็นคู่มือ

เนื้อหาในเล่ม นำเสนอข้อมูลและภาพถ่ายล่าสุด ของเหรียญมงคล 99 เหรียญยอดนิยมที่สวยงามคมชัด บรรยายลักษณะเหรียญ ทั้งด้านหน้าเหรียญและด้านหลังเหรียญ จุดเด่นหรือตำหนิของเหรียญนั้นๆ ไปจนกระทั่งถึงประวัติความเป็นมาของพระเกจิผู้จัดสร้างบอกเล่าประวัติความ เป็นมาในการจัดสร้างเหรียญชนิดนั้นๆ

ครอบคลุมด้วยเนื้อหาการประกอบพิธีพุทธาภิเษกเหรียญ จำนวนการจัดสร้าง พุทธคุณโดดเด่นในด้านใด รวมทั้งราคาเช่าหาในปัจจุบัน

อาทิ เหรียญหลวงปู่ทิม ปี 2540, เหรียญพระชัยหลังช้าง ภปร., เหรียญพิฆเนศวร ปี 2551, เหรียญ 18 อรหันต์ รุ่น 2, เหรียญนพรัตน์นพคุณ, เหรียญที่ระลึก 3 สถาบัน Y2K, เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ, เหรียญ 100 ปี หลวงพ่อแช่ม, เหรียญหลวงปู่จันทร์ยันต์ขาด เป็นต้น

เปิดปูมเรื่องราวพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ โดยพระเกจิดังเจ้าพิธี "พระเทพภาวนาวิกรม" หรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ พระเกจิเรืองนามอีกรูปหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากผู้จัดสร้างวัตถุมงคลในการ ประกอบพิธีพุทธาภิเษก

ท่านเจ้าคุณธงชัยในฐานะพระเกจิชื่อดัง ได้รับนิมนต์จากเจ้าของงานให้เข้าร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคลมากมาย ท่านจะมาเปิดเผยเรื่องราวของพิธีพุทธาภิเษกในทุกแง่มุม ทั้งการสวดเจริญพระพุทธมนต์ บริกรรมคาถา นั่งปรก จุดเทียนชัยหรือดับเทียนชัย

เจ้าคุณธงชัย กล่าวตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ ว่า "สังคมไทย เมื่อมีงานบุญหรืองานมงคลต่างๆ เราจะนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญเลี้ยงพระ เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานมงคลสมรส เป็นต้น พระสงฆ์จะใช้บทสวดเจริญพระพุทธมนต์ คือบทสวดเจ็ดตำนานหรือบทสวดสิบสองตำนาน รวมไปถึงงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ถือเป็นงานมงคลที่พระสงฆ์จะต้องสวดเจริญพระพุทธมนต์เช่นกัน เพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป ช่วยให้งานพิธีสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี"

ยังมีบทสัมภาษณ์เปิดใจ "ประภัตร โพธสุธน" อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย มาบอกเล่าถึงประสบการณ์เฉียดตายจากอุบัติเหตุรถเบนซ์ของนายประภัตรวิ่งชน ประสานงากับรถปิกอัพที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ทำให้คนในรถเบนซ์เสียชีวิต 3 ราย ส่วนรถปิกอัพเสียชีวิต 4 ราย เว้นแต่นายประภัตรรอดตายเพียงคนเดียวราวปาฏิหาริย์

"ผมเชื่อว่าที่รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์เพราะผมคล้องเหรียญหลวงพ่อสม หรือพระครูศรีคณานุรักษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนบุบผาราม พระเกจิชื่อดัง 1 ใน 9 สุดยอดพระเกจิเมืองสุพรรณบุรีในยุคหลังกึ่งพุทธกาล ผมนับถือท่านมาก ทุกวันนี้ชาวสุพรรณฯ ยังระลึกถึงหลวงพ่อ" เป็นคำยืนยันจากอดีต ส.ส.คนดังแห่งเมืองสุพรรณบุรี ผู้มีประสบการณ์จากพุทธคุณแห่งเหรียญวัตถุมงคล

พร้อมด้วย 3 เซียนผู้คร่ำหวอดที่ในวงการเหรียญพระ มาให้ทรรศนะและมุมมองของเหรียญยอดนิยมต่างๆ มาทำนายเหรียญพระที่คาดว่าจะมาแรงในอนาคต

3 เซียนพระชื่อดัง ที่มีความเชี่ยวชาญจนคนในวงการพระเครื่องให้การยอมรับ ประกอบด้วย "วี่ แหลมทอง" หรือ "คณิศร วงศ์แหลมทอง" เจ้าของศูนย์พระเครื่องแหลมทอง ห้างสรรพสินค้าเดอะสีลม แกลเลอเรีย, "หมู บางพลัด" หรือ "เรวัต ฉ่อยตระกูล" เจ้าของศูนย์พระเครื่องสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง และ "ระวิ เลิศนานาวงศ์" เจ้าของศูนย์พระเครื่องโลตัสปิ่นเกล้า

"99 เหรียญ บูชามหานิยม" เล่มนี้มีรูปแบบเล่มที่สวยงาม ฉีกแนวจากหนังสือแนวเดียวกันโดยทั่วไป ตีพิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม ราคา 250 บาท เพื่อให้ได้รูปภาพที่มีสีสันสวยงามเห็นได้ชัดเจน มีเนื้อหาอยู่ในระดับพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ด้วยต้องการให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ

กองบรรณาธิการข่าวสด หวังว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มล่าสุดนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั่วไป

นอกเหนือไปจากผลงาน หนังสือ "99 เหรียญ บูชามหานิยม" เล่มล่าสุดแล้ว กองบรรณาธิการข่าวสด ยังได้จัดทำหนังสือ "เดินสายไหว้พระพุทธทั่วไทย" รวบรวมพระประธานและพระพุทธรูปสำคัญอันเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธจากวัด ต่างๆ 4 ภาค ทั่วประเทศไทย ซึ่งมิได้บรรจุอยู่ในเล่มไหว้พระประธาน 76 จังหวัด ขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง นำเสนอประวัติที่มา ความโดดเด่นของพระพุทธรูป เกร็ดประวัติหรือความเชื่อของประชาชนในท้องถิ่น วิธีการสักการบูชาของชาวบ้านในชุมชนที่รายรอบวัดที่พระพุทธรูปประดิษฐาน ราคา 290 บาท

"สุดยอด-อมตะ 109 เหรียญมงคล" รวบรวมข้อมูลสุดยอดเหรียญมงคลชื่อดังของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเหรียญ ตำหนิ ประวัติ ประสบการณ์ความขลัง พร้อมปูมประวัติ พระเกจิฯ พระเถระ ผู้สร้าง ตั้งแต่รุ่นคลาสสิคอายุมากกว่า 100 ปี หนังสือเล่มนี้ รวบรวมและนำเสนอให้เข้าใจได้ง่าย ตีพิมพ์ 4 สีทั้งเล่มสีสันสวยงาม ราคา 250 บาท

"ไหว้พระประธาน 76 จังหวัด" รวบรวมพระพุทธรูปประธานและพระพุทธรูปสำคัญ อันเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศมารวมไว้ในเล่มเดียวกัน เปิดเผยประวัติ ตำนานและความศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระประธาน มีภาพสี่สีและข้อมูลประกอบอย่างครบครัน ราคา 360 บาท

"มงคลข่าวสด สุดยอดพระเกจิ" รวบรวมประวัติพระเกจิอาจารย์ ทั้ง 20 รูป ที่ได้ชื่อว่า มีวัตรปฏิบัติและกิตติศัพท์โดดเด่น ที่เคยนำมาลงในมงคลข่าวสด หน้า 1 ฉบับวันอาทิตย์ แต่ได้มีการปรับปรุงหาข้อมูลเพิ่มเติม สัมภาษณ์ทั้งพระเกจิอาจารย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีภาพถ่ายใหม่ล่าสุด ภาพกิจกรรมของพระเกจิที่สำคัญ ราคา 195 บาท

ผู้สนใจหาซื้อได้ตามแผงหนังสือทั่วประเทศ

แหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดข่าวสด


ที่มา http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-99-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D-%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 4


ผู้ผลิต “แบล็คเบอร์รี” ยืนยันระบบมีความปลอดภัย หลังยูเออีสั่งระงับบริการ
เอเอฟพี - บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (อาร์ ไอ เอ็ม) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน “แบล็คเบอร์รี” ประกาศชัดเจนในวันจันทร์(2)ว่า จะไม่ผ่อนคลายระบบรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้ หลังรัฐบาลยูเออีและซาอุดีอาระเบียขู่จะระงับบริการบางประเภท อาร์ ไอ เอ็ม ระบุในถ้อยแถลงว่า มีการหารือกับ “รัฐบาลบางประเทศ” และกล่าวว่า “บริษัทเคารพข้อกฎหมายของรัฐบาลเหล่านั้น ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ บริการด้วย” แบล็คเบอร์รีมีผู้ใช้บริการมากกว่า 700,000 คนในซาอุดีระเบีย และราว 500,000 คนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาร์ ไอ เอ็ม ออกมารับรองต่อผู้ใช้บริการที่เป็นนักธุรกิจว่า ข้อมูลลับใดๆของบริษัทที่ส่งผ่านอีเมลหรือระบบรับ-ส่งข้อความของแบล็คเบอร์ รีจะไม่รั่วไหลอย่างแน่นอน “ระบบรักษาความปลอดภัยของแบล็คเบอร์รีถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อตอบ สนองความต้องการของลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจ ลูกค้าสามารถรับ-ส่งข้อมูลแบบไร้สายโดยมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครเข้าถึงข้อมูล ดังกล่าว แม้แต่คนของ อาร์ ไอ เอ็ม เอง” ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ก็วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของยูเออี และเรียกร้องให้รัฐบาลยูเออีออกมาชี้แจงเหตุผลเบื้องหลังคำสั่งดังกล่าว“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรามองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการได้รับข้อมูลข่าวสาร และความสะดวกรวดเร็วของการสื่อสารในศตวรรษที่ 21” ฟิลิปส์ ครอว์ลีย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าว ยูเซฟ อัล-โอตัยบา ทูตยูเออีประจำสหรัฐฯ มีถ้อยแถลงตอบข้อเรียกร้องดังกล่าวผ่านอีเมลไปถึงสื่อมวลชนว่า “ความเห็นของสหรัฐฯที่มีต่อการประกาศระงับบริการบางอย่างของแบล็คเบอร์รีใน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม เป็นต้นไป นับว่าน่าผิดหวัง ทั้งยังขัดต่อแนวทางควบคุมการโทรคมนาคมของสหรัฐฯเอง” “อันที่จริง ยูเออีเพียงแต่เรียกร้องการเคารพต่อกฎหมาย และกระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายอย่างเดียวกันกับที่แบล็คเบอร์รีอนุญาตต่อ สหรัฐฯและรัฐบาลประเทศอื่นๆเท่านั้นเอง”โทรศัพท์สมาร์ทโฟนชนิดนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาลักษณะเดียวกันในอินเดีย เมื่อรัฐบาลอินเดียขู่ว่าจะสั่งปิดบริการของแบล็คเบอร์รีในตลาดมือถือที่ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หากผู้ผลิตแบล็คเบอร์รีไม่อนุญาตให้รัฐเข้าไปตรวจสอบระบบรับ-ส่งข้อความและ อีเมลเพื่อความปลอดภัยสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ของอินเดียระบุว่า อาร์ ไอ เอ็ม ยืนยันจะให้คำตอบเกี่ยวกับการขอตรวจสอบบริการของแบล็คเบอร์รีเร็วๆนี้

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 3


วิกฤติโลกร้อนในจีน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น หิมะตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายปีที่แล้ว และส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่นับวันปรากฏการณ์โลกร้อนก็ยิ่งปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายมณฑลทางใต้ของประเทศจีนต้องเผชิญกับพายุฝนถล่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายปี และเกิดดินโคลนถล่ม ถนนถูกตัดขาด บ้านเรือนพังเสียหาย ประชาชนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย จนถึงตอนนี้มีผู้ประสบภัยใน 11 มณฑล (รวมเขตปกครองตนเองและมหานคร) จำนวนกว่า 40 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน หายสาบสูญเฉียด 200 คน บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 300,000 หลังคาเรือน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรงประมาณ 64,570 ล้านหยวน โดยมีมณฑลฝูเจี้ยน กวางซี หูหนาน เจียงซี กุ้ยโจว ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมและสร้างความเสียหายอย่างมากในครั้งนี้ คือ ประการแรก เพราะฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้น้อยมาก ปริมาณน้ำฝนในหลายอำเภอทางลุ่มแม่น้ำหมิ่นเจียงในมณฑลฝูเจี้ยนมีปริมาณมากกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีถึง 2.2 เท่า ทำสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์ประการที่สอง ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก แม่น้ำสายหลักและสายรองในมณฑลฝูเจี้ยน เจียงซี หูหนาน มีปริมาณน้ำเกินกว่าระดับที่รองรับได้และเกินกว่าสถิติที่บันทึกไว้ประการที่สาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถือได้ว่าหนักมาก ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า มีบ้านเรือนพังเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ทางภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2548 - 2552 ในช่วงเวลาเดียวกัน ประการที่สี่ เพราะเกิดภัยพิบัติเป็นบริเวณกว้างและรุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนจำนวนมากอย่างกว้างขวาง ปริมาณน้ำฝนที่มากก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและอ่างเก็บน้ำแตก ทำให้บ้านเรือนประชาชน อาคารบริษัทต่างๆ และถนนหนทางจมอยู่ใต้น้ำเพื่อบรรเทาภัยพิบัติจากเหตุน้ำท่วมเนื่องจากพายุฝนถล่ม กระทรวงการคลังและกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนร่วมกันอนุมัติงบประมาณ 377 ล้านหยวน โดยงบประมาณส่วนใหญ่จะใช้ในการอพยพและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยให้กับผู้ประสบภัยในมณฑลฝูเจี้ยน เจ้อเจียง เจียงซี และหูหนาน และทั้งสองกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 867 ล้านหยวนให้กับพื้นฟที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้ง 8 มณฑลทางใต้ของจีน และพื้นที่เขตปกครองตนเองที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าวในขณะเดียวกัน ประชาชนชาวจีนก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ เมื่ออุณหภูมิภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกที่ขณะนี้หลายๆเมือง อุณหภูมิทะลุผ่าน 35 องศาเซลเซียสไปแล้วแค่เพียงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิในกรุงปักกิ่งพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 60 ปี ตามสถิติก่อนหน้านี้ อุณหภูมิเดือนกรกฎาคมในกรุงปักกิ่งเคยสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ.2542 วัดได้ 41.9 องศาเซลเซียส ครั้งที่สองในปี พ.ศ.2545 วัดได้ 41.1 องศาเซลเซียส มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า ปีนี้อุณหภูมิอาจพุ่งเกิน 55 องศาเซลเซียสได้ความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลต้องรับผู้ที่ป่วยจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นมากกว่าช่วงเวลาปกติถึง 3 เท่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนแล้ว 2 รายในกรุงปักกิ่งและเมืองเซินเจิ้นในแต่ละเมืองต่างก็พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยคลายร้อน ยกตัวอย่างการบริการขนส่งสาธารณะในกรุงปักกิ่ง เพื่อสร้างความสบายให้กับผู้ใช้บริการรถประจำทาง บริษัทรถประจำทางในกรุงปักกิ่งสั่งให้รถประจำทางปรับอากาศเปิดแอร์ไว้ตลอด ส่วนรถที่ไม่มีแอร์ก็ให้รักษาความสะอาดเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ในขณะเดียวกันบริษัทที่ให้บริการรถไฟใต้ดินได้มีนโยบายให้รถไฟทุกขบวนเปิดแอร์ก่อนที่จะเริ่มให้บริการ 20 นาที เพื่อให้ความเย็นในแต่ละตู้คงไว้ตลอด เป็นต้นส่วนในมณฑลเจ้อเจียง ได้สั่งให้บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงาน รวมถึงบริษัทผู้ผลิตกระดาษและหลอมเหล็กมากกว่า 1,000 บริษัท ยุติหรือลดการผลิตชั่วคราวเป็นเวลา 15 วัน เพื่อเพิ่มการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนกรมอุตุนิยมวิทยาของจีน เผยว่า หลังจากนี้พื้นที่ตอนบนและตอนล่างจะมีสภาพอากาศสลับกัน ทางเหนือจะมีพายุฝน ทำให้อุณหภูมิลดลง ส่วนทางใต้ฝนจะตกน้อยลง แต่อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้พื้นที่อันกว้างใหญ่ของประเทศจีนจะทำให้บริเวณตอนบนและตอนล่างของประเทศต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภัยธรรมชาติที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่เป็นผลจากการที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น และเราก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกว่าสาเหตุที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น มนุษย์เราไม่ได้มีส่วนสร้างให้เกิดสภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกัน

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 2


ราชบัณฑิตวิตกโจ๋อ่อนเขียนภาษาไทย
“ราชบัณฑิต” วิตกโจ๋ไทยยุคใหม่อ่อนเขียนภาษาไทย ชี้ เด็กเขียนเรียงความไม่ได้ จี้ วธ.-ศธ.เร่งแก้ตั้งแต่ประถม พร้อมหนุนใช้ภาษาถิ่นในภูมิลำเนา หวั่นภาษาดั้งเดิมสูญ

วันนี้ (20 ก.ค.) ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย กล่าวเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ 29 ก.ค.ที่จะถึงนี้ว่า แม้จะมีการรณรงค์เรื่องการใช้ภาษาไทยในทุกปี แต่ก็ยังพบว่าปัญหาการใช้ภาษาไทยยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลับน่าเป็นห่วงมากขึ้นจากการเข้ามาของกระแสเพลงเกาหลี แฟชั่นเกาหลี ที่ทำให้คนไทยหันไปสนใจภาษาต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กเยาวชนที่เรียนภาษาเกาหลีเสริม แต่ไม่มีใครสนใจเรียนเสริมภาษาไทยทั้งที่ยังใช้กันไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ตนจึงอยากเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รณรงค์เรื่องการอนุรักษ์และใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องให้มาก ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรเน้นเรื่องการเรียนวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการปลูกฝังตั้งแต่ระดับประถมศึกษา รวมถึงการส่งเสริมให้เด็กทุกชั้นวัยสามารถเขียนเรื่องราวที่มีความยาวได้ จะช่วยแก้ปัญหาในระดับหนึ่ง

“เด็กยุคใหม่ไม่ สามารถเขียนอะไรที่ยาวๆ ได้ เช่น เรียงความ หรือบรรยายเรื่องราวต่างๆ ดังนั้น โรงเรียนควรจะเน้นให้เด็กได้มีทักษะการเขียนให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ บทวิจารณ์ และการเขียนในรูปแบบอื่นๆ ที่จะต้องให้เด็กได้ฝึกใช้คำและภาษาอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการใช้ภาษาไทยได้” ดร.กาญจนากล่าว

ราชบัณฑิตกล่าวด้วยว่า การใช้ภาษาถิ่นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมาก โดยปัจจุบันเด็กไทยมักรู้สึกอายที่จะพูดภาษาถิ่นของท้องถิ่นตัวเอง ในขณะที่ตนเห็นว่าควรส่งเสริมให้มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาถิ่นระหว่างที่อยู่ ในภูมิลำเนาจะช่วยอนุรักษ์ภาษาถิ่นเอาไว้ได้ทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจผิดในการใช้ภาษาถิ่น โดยนำภาษากลางมาใส่สำเนียงท้องถิ่นทำให้ภาษามีการผิดเพี้ยนไป ทั้งนี้ หากไม่เร่งแก้ไขภาษาถิ่นดั้งเดิมที่มีอยู่ก็จะหายไปในที่สุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2553 16:13 น.
ที่มาhttp://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000099914

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 1

เล็งสอบ"มาร์คV11" ดีเอสไอรื้อเฟซบุ๊ค โพสต์หมิ่นเบื้องสูง
ASTVผู้จัดการรายวัน - ดีเอสไอ เล็งสอบข้อมูล “มาร์ค V11” เข้าข่ายโพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูงในเฟซบุ๊คกรณีปลดรูปที่มีอยู่ทุกบ้าน พฤติกรรมคล้ายนช.แม้ว ขณะที่เจ้าตัวควงพ่อร่ายสคริปต์ ยันจงรักภักดีสละได้แม้แต่ชีวิตพร้อมชวนคนไทยรักกัน ลั่นเฟสบุ๊คข้อความหมิ่นเบื้องสูงถูกตัดต่อ เผยรู้สึกเสียใจก่อนเอ่ยปากขอโทษกรณีด่านายกฯ หยาบคาย ก่อนให้เหตุผลเพราะยังเด็ก

วานนี้(14 ก.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ โดยมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ (คดีล้มเจ้า) ว่า ขณะนี้ดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะเรียกเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ในฐานะผู้กล่าวหามาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ภายใน 2-3 วันนี้ ส่วนกรณีนายวิทวัส ท้าวคำลือ หรือ มาร์ค V11 โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คนั้น ในขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ และยังยืนยันไม่ได้ว่า การโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คทั้งหมดดังกล่าว เป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองหรือไม่

โดยหลักฐานจากฟอร์เวิร์ดภาพที่เป็นหน้าเฟซบุ๊กของหนุ่มมาร์คเป็นข้อ ความที่ถูกพิมพ์ขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมเวลา 19.24 น. และมีเนื้อหาพาดพิงไปถึงบุคคลสำคัญคนหนึ่ง พร้อมด้วยประโยคที่ว่า "...เมื่อไหร่จะปลดรูปไปให้หมดทุกบ้านวะ"

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะคณะทำงานคดีล้มเจ้า ได้แบ่งคณะทำงานออกเป็น 9 ชุดในการสืบสวนสอบสวน ดังนี้ คือ 1.ชุดปฏิบัติการสืบสวนด้านการข่าว 2.ชุดปฏิบัติการสืบสวนด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ 3.ชุดปฏิบัติการสืบสวนด้านการเงิน การธนาคาร และภาษีอากร 4.ชุดปฏิบัติการด้านการต่างประเทศ 5.ชุดปฏิบัติการด้านสำนวนคดีที่ได้รับมอบจาก สตช. 6-7.ชุดปฏิบัติการด้านสำนวนคดีที่ ศอฉ. ร้องขอให้เป็นคดีพิเศษ 8.ชุดปฏิบัติการฝ่ายเลขานุการคดี และ 9.ชุดปฏิบัติการฝ่ายอำนวยการและสนับสนุนคดี โดยมีงบประมาณที่จะสนับสนุนคดีนี้เบื้องต้นใช้เงินงบประมาณที่ดีเอสไอ ได้รับโอนมาก่อนหน้านี้จำนวน 28 ล้านบาท

ขณะที่ นายนพชัย ตั้งไตรธรรม ที่ปรึกษาทางเทคนิคอาวุโส บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชัน จำกัด ระบุว่าการแฮกเฟสบุ๊กนั้นสามารถทำได้ หากซอฟต์แวร์เฟสบุ๊กมีช่องโหว่ ซึ่งเหตุการณ์เกี่ยวกับการแฮกเฟสบุ๊กเคยเกิดมาแล้วก่อนหน้านี้ และเฟสบุ๊กก็ได้มีการแก้ไปแล้ว แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้อีก เพราะเป็นเรื่องของระบบความปลอดภัย หากระบบป้องกันไม่ดีพอก็ทำได้โดยไม่ต้องมียูสเซอร์ พาสเวิร์ด

ที่มาhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000097236

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดาวเคราะห์แคระ



ดาวเคราะห์แคระ

เปรียบเทียบ วัตถุในแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt)
ดาวเคราะห์แคระ เป็นดาวชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ ตามการจำแนกชนิดดาวเคราะห์ที่เสนอโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union :IAU) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549
ดาวพลูโต
นิยามของดาวเคราะห์แคระ
อยู่ในวงโคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ตัวมันเองไม่ใช่ดาวฤกษ์ มีมวลพอเพียงที่จะมีแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เพื่อเอาชนะแรง rigid body forces ทำให้รูปทรงมีสมดุลไฮโดรสแตติก (เกือบเป็นทรงกลมสมบูรณ์) ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมัน ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร นิยามได้เสนอขึ้น 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ทำให้ดาวพลูโตกลายเป็นดาวเคราะห์แคระ หลังจากเคยยอมรับว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ทั้งนี้เพราะไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมันได้
จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุบนท้องฟ้าที่จัดเป็นดาวเคราะห์แคระ ได้แก่
พลูโต (Pluto)
ซีรีส (Ceres)
อีริส (Eris)
เฮาเมอา (Haumea)
มาคีมาคี (Makemake)
ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B0

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ดราก้อนบอล


ดราก้อนบอล (ญี่ปุ่น: ドラゴンボール Doragon Bōru ทับศัพท์จาก Dragon Ball ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ผลงานของโทริยามา อากิระ ลงพิมพ์ในนิตยสารโชเนนจัมป์ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2538 และรวมเป็นฉบับรวมเล่มได้ 42 เล่ม ในประเทศไทยเคยลงตีพิมพ์ใน ทาเล้นท์ และ ซีโร่ ในช่วงก่อนที่มีลิขสิทธิ์การ์ตูน และหลังจากนั้นได้ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูนบูม ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด
เนื้อเรื่องของดราก้อนบอลเกี่ยวกับการผจญภัยของ
ซุน โกคู ในการรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพื่อขอพรหนึ่งข้อจากเทพเจ้ามังกร โดยระหว่างการเดินทางโกคูต้องพบกับเพื่อนฝูงและอุปสรรคต่างๆ
ลักษณะการดำเนินเรื่องช่วงแรก น่าจะเอามาจากเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งกำหนดให้ซุนโกคู มีชื่อเดียวกับซุนหงอคง ให้มีปิศาจหมู อูลอน ลักษณะคล้าย ตือโป้ยก่าย
ดราก้อนบอลมีสร้างมาหลายภาคทั้งในฉบับ
มังงะและอะนิเมะ และยังมีการนำไปทำเป็นวิดีโอเกมหลายภาค และภาพยนตร์ ดราก้อนบอล นำแสดงโดย จัสติน แชตวิน, เอ็มมี รอสซัม และ โจว เหวินฟะ
และในปี
พ.ศ. 2552 ดราก้อนบอล ได้ถูกนำมาสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งในชื่อว่า ดราก้อนบอล ไค โดยจะนำเนื้อหาของภาค ดราก้อนบอล Z มาสร้างใหม่ในระบบ High Definition Television (โทรทัศน์ความละเอียดสูง) เนื้อหาจะถูกตัดต่อใหม่ ให้กระชับฉับไวขึ้น เสียงประกอบ และ ดนตรี จะแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมดให้เหมาะกับยุคนี้ แต่ยังคงใช้นักพากย์เดิม และจะเริ่มออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางช่อง ฟูจิทีวี