นายไชยเวช สันที ปม.4/1(ค้าง)

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 10


Percy Jackson คริส โคลลัมบัส เอาอีกแล้ว!

หนังเรื่องนี้ทำมาจากนิยายขายดีของทางฝั่งอเมริกาในชื่อนิยายชุด Percy Jackson เช่นเดียวกับชื่อหนัง แต่งโดยริค ริออร์แดน ตีพิมพ์เล่มแรกเมื่อปี 2005 ก่อนที่จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า(เช่นเดียวกับนิยายแฟนตาซีรุ่นพี่ที่ถูกจับมาทำหนังก่อนหน้านี้) ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเล่มภาคต่อตามออกมาหลายเล่ม ไม่รู้ว่ามีแปลเป็นไทยรึยังเหมือนกัน
ผู้กำกับก็เป็นที่ตุ้นเคยกันดีแน่นอนสำหรับคอหนังเด็กและหนังแฟนตาซี คริส โคลัมบัส ผู้กำกับจากหนัง Home Alone ภาค 1 และ ภาค 2 และจาก Harry Potter ภาค 1 และภาค 2 สองเรื่องแรกได้รับคำชมไปมากมาย ส่วนสองเรื่องหลังแม้จะทำรายได้ถล่มทลาย แต่กลับเป็นหนังที่ดูไม่ค่อยสนุก เพราะอย่างกับว่าตัดฉากและบทพูดจากหนังสือมาแปะต่อๆกัน ทำให้หนังดูรายละเอียดเยอะเกินไป และเรื่องราวโดยรวมสำหรับคนที่ไม่อ่านหนังสือ ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร ซึ่งกับ Percy Jackson นี้ ผมก็หวั่นใจเหมือนกันว่า ตาคริสจะทำเช่นนั้นอีก แต่เอาน่า รอบนี้แกอาจจะกล้าคิดกล้าทำมากกว่าเดิมก็ได้
หนังเปิดเรื่องด้วยการเจรจาพาทีระหว่างเทพโพไซดอนและซีอุส(หรือซุส) สองเทพในตำนานของกรีก โดยซีอุสกล่าวหาว่า บุตรชายของโพไซดอนขโมยสายฟ้า(Lighting Bolt) ของซีอุสไป โดยสายฟ้าเป็นอาวุธที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถทำลายโลก ทะลวงสวรรค์ได้ทีเดียว ซีอุสได้ประกาศว่า ถ้าภายใน 14 วัน โพไซดอนยังหาสายฟ้ามาคืนไม่ได้ เกิดสงครามครั้งใหญ่แน่จากนั้นหนังก็พามาพบกับพระเอกของเรื่อง เพอร์ซี่ แจ็คสัน(รับบทโดย โลแกน เลอร์แมน เจ้าหนุ่มนักเล่นเกมส์หน้าอ่อนจากเรื่อง Gamer) ที่เปิดมาก็เดาได้เลยว่าลูกใคร เพราะฉากแรกพี่แกก็แก้ผ้าใส่บอกเซอร์ดำน้ำโชว์แล้ว เพอร์ซี่เด็กหนุ่มผู้ดำน้ำอึดเป็นเลิศ แต่เป็นโรคอ่านหนังสือไม่ได้(เป็นโรคฮิตโรคหนึ่งในอเมริกา ชื่อเป็นทางการคือ Dyslexia) และเป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งสาเหตุก็ไปตามดูกันเอาเองเน้อ ว่าทำไมเพอร์ซี่ถึงเป็นโรคพวกนี้
การเปิดเรื่องไปจนถึงช่วงก่อนที่เพอร์ซี่ แจ็คสันจะได้พบกับความจริงว่าเขาเป็นใคร กำลังเผชิญกับอะไรนั้น ผมชอบมากๆครับ ดำเนินเรื่องราวได้น่าติดตาม สำหรับผมการดำเนินเรื่องช่วงแรกนั้นไม่แพ้ Spider Man ภาคแรกเลยทีเดียว แต่พอมาช่วงการต้อนรับพระเอกเข้าสู่โลกใหม่ (เช่นตอนพอตเตอร์เริ่มเข้าฮอกส์วอร์ต พาร์คเกอร์เริ่มฝึกใช้ใยแมงมุม) ผมดูไปพร้อมกับคิดในใจว่า “ตาคริส โคลัมบัส เอาอีกแล้วแน่ๆ” เพราะหนังเริ่มดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วแบบไม่ปะติดปะต่อเลย ซึ่งผมขอเดาว่าฟอร์มเดียวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกแน่ๆ เดี๋ยวขับรถ เดี๋ยวเข้าค่าย เดี๋ยวไม่เก่ง เดี๋ยวเก่งเลย เดี๋ยวหนีออกจากค่าย เนื้อเรื่องสับสนงงงวยไปหมด
จากนั้นหนังก็เข้าสู่องค์ที่สอง ก็คือช่วง The Lord of the Rings โดยเพอร์ซี่และผองเพื่อนรับบทเป็นโฟรโดกับแซมกลายๆ แต่เป็นการตามหาลูกแก้ววิเศษแทน ก็ไปเจอกับเมดูซ่า เจอกับสัตว์ประหลาดไฮดรา เจอกับเผ่ากินดอกบัว ก่อนที่จะเจอกับฮาเดส ราชานรก ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละช่วงนั้น ก็สนุกเฉพาะในช่วงนั้นๆ แต่พอต่อไปอีกช่วง ที่เจอศัตรูตัวใหม่ก็เหมือนเริ่มใหม่หมดเลย ซึ่งคงโทษใครไม่ได้นอกจากผู้กำกับกับมือเขียนบท ที่ให้ความเคารพกับนิยายมากเกินไป จนน่าจะรักพี่เสียดายน้องจับยัดๆมาให้หมด ผลสุดท้ายหนังเลยสนุกไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควรช่วงไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้จับไม่ถูกเลยครับ สำหรับผมอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างฮาเดสกับเพอร์ซี่ แต่สำหรับผู้กำกับน่าจะอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างเพอร์ซี่กับผู้ขโมยสายฟ้าตัวจริง ซึ่งผมคิดว่าพาไปไม่ถึงจุดลุ้นระทึกอย่างที่ควรจะเป็นเท่าไร สรุปแล้วคริส โคลัมบัสไม่น่าจะเหมาะกับการกำกับหนังจากวรรณกรรม นิยายต่างๆที่เขาชื่นชอบครับ เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่ใจไม่เหี้ยมเลย ไม่กล้า ไม่อยากตัดนู่นตัดนี่ โดยไม่ดูองค์ประกอบของผลงานโดยรวมเท่าไร ซึ่งผลก็คือ เขาอาจจะนำโลกจากหนังสือ มาปรากฏในโลกภาพยนตร์ได้ครบถ้วน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือนิยายที่เขาหยิบมาทำ หนังของเขาจะดูไม่สนุกเท่าไร เพราะเหมือนกับดูสารคดีมากกว่า
Percy Jackson น่าจะประสบความสำเร็จในด้านรายรับในระดับหนึ่ง เพราะมีแฟนๆหนังสือติดตามมา รวมทั้งนิยายแฟนตาซีของอเมริกันพันธุ์แท้เช่นนี้มีน้อย ทำให้ชาวอเมริกันคงช่วยกันสนับสนุนกันพอสมควร แต่ผมเดาว่ารายได้คงไม่เกินหน้านาร์เนียร์แน่ๆ ยิ่งพอตเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
สำหรับดารานำแล้ว หนังเรื่องนี้เหมือนกับเปิดตัวดาราวัยรุ่นคนใหม่
Logan Lerman ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ในวงการฮอลลีวู้ดมาครบ 10 ปีแล้ว หนังของเจ้าหนุ่มนี่ที่ผมเคยดูก่อนหน้านี้ก็คือ The Patriot (2000) , The Number 23 (2007) และ Gamer (2009) โดยบทบาทในเรื่องนี้ก็ไม่ขี้เหร่เท่าไร แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าไรเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ หมอนี่ได้โชว์หล่อ โชว์หุ่นเต็มที่ครับ ซึ่งก็น่าจะเป็นบันไดสู่ก้าวต่อไปได้แน่นอน
สองนักแสดงวัยรุ่นฝ่ายชายในยุคนี้ก็คงคือเจ้าหนุ่ม Logan Lerman นี้ และอีกคนที่ทุกคนคงรู้จักกันดีก็คือ Freddie Highmore ซึ่งทั้งคู่โตไปคงหน้าตาไม่แตกต่างไปจากนี้เท่าไร ถ้าไม่เสียคนไปก่อนก็น่าจะยืนหยัดในวงการได้อีกนาน อย่าให้โตมาแล้วหน้าประหลาดเหมือนอย่าง Haley Joel Osmant (The Sixth Sense, A.I.) หรือ Mcculley Culkins (Home Alone) ก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น