นายไชยเวช สันที ปม.4/1(ค้าง)

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผลสำรวจเผยวัยรุ่นไทยแชมป์ฮัลโหลในเอเชีย

จากความคิดเห็นดังกล่าว กระผมมองว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยขอเลื่อมจากข้อดีก่อน
วัยรุ่นไทยส่วนมากนิยมพกโทรศัพท์มือถือมากกว่าชาติอื่นในเอเชียทำให้ยอดการขายมือถือพุ่งเร็วโดยผู้ประกอบการได้รับผลกำไรมากจึงต้องแข่งขันกับมือถือยี่ห้ออื่นเพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นให้หันมานิยมใช้แบรนด์ของตนซึ่งจะดีมาก ทำให้เศรฐกิจมีความเจริญผลิตภัณท์ต่างๆที่เกี่ยวกับมือถือจึงได้รับความนิยมตามไปด้วยกระผมมองว่าในอนาคตเราอาจจะได้สสัมผัสเทคโนโลยีที่สูงกว่านี้ก่อนใครในแถบเอเชียเพราะมือถือในบ้านเราได้รับความนิยมมากนั่นเอง
สำหรับข้อเสียที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าวัยรุ่นติดโทรศัพท์กันงอมแงม บางคนพกมากกว่าหนึ่งเครื่องและหลายคนเปลี่ยนหมายเลขมือถือหรือเปลี่ยนซิมมากกว่าสองครั้งทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายไปอย่างไร้ประโยชน์ทั้งที่ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ และบางครั้งก็เกิดอันตรายขึ้นได้สำหรับสาวๆเนื่องจากเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายทำให้คนบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มเสี่ยงกลุ่มนี้ เช่นแชทกันแล้วให้เบอร์และนัดเจอกันทำให้ส่วนใหญ่เกิดปัญหาการข่มขืนหรือการแพร่เชื้อเอดส์และอื่นๆได้ ทั้งที่ปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆแต่มักจะไม่ได้รับการแก้ไขเอาเสียเลยปํญหามันจึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เทคโนโลยี่มีทั้งดีและร้ายหากใช้ในทางประโยชน์ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดหากใช้ในทางที่ผิดประเทศชาติล่มจมแน่นอน
ชื่อ นายไชยเวช สันที
ปม. 4/1

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 10


Percy Jackson คริส โคลลัมบัส เอาอีกแล้ว!

หนังเรื่องนี้ทำมาจากนิยายขายดีของทางฝั่งอเมริกาในชื่อนิยายชุด Percy Jackson เช่นเดียวกับชื่อหนัง แต่งโดยริค ริออร์แดน ตีพิมพ์เล่มแรกเมื่อปี 2005 ก่อนที่จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า(เช่นเดียวกับนิยายแฟนตาซีรุ่นพี่ที่ถูกจับมาทำหนังก่อนหน้านี้) ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเล่มภาคต่อตามออกมาหลายเล่ม ไม่รู้ว่ามีแปลเป็นไทยรึยังเหมือนกัน
ผู้กำกับก็เป็นที่ตุ้นเคยกันดีแน่นอนสำหรับคอหนังเด็กและหนังแฟนตาซี คริส โคลัมบัส ผู้กำกับจากหนัง Home Alone ภาค 1 และ ภาค 2 และจาก Harry Potter ภาค 1 และภาค 2 สองเรื่องแรกได้รับคำชมไปมากมาย ส่วนสองเรื่องหลังแม้จะทำรายได้ถล่มทลาย แต่กลับเป็นหนังที่ดูไม่ค่อยสนุก เพราะอย่างกับว่าตัดฉากและบทพูดจากหนังสือมาแปะต่อๆกัน ทำให้หนังดูรายละเอียดเยอะเกินไป และเรื่องราวโดยรวมสำหรับคนที่ไม่อ่านหนังสือ ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร ซึ่งกับ Percy Jackson นี้ ผมก็หวั่นใจเหมือนกันว่า ตาคริสจะทำเช่นนั้นอีก แต่เอาน่า รอบนี้แกอาจจะกล้าคิดกล้าทำมากกว่าเดิมก็ได้
หนังเปิดเรื่องด้วยการเจรจาพาทีระหว่างเทพโพไซดอนและซีอุส(หรือซุส) สองเทพในตำนานของกรีก โดยซีอุสกล่าวหาว่า บุตรชายของโพไซดอนขโมยสายฟ้า(Lighting Bolt) ของซีอุสไป โดยสายฟ้าเป็นอาวุธที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถทำลายโลก ทะลวงสวรรค์ได้ทีเดียว ซีอุสได้ประกาศว่า ถ้าภายใน 14 วัน โพไซดอนยังหาสายฟ้ามาคืนไม่ได้ เกิดสงครามครั้งใหญ่แน่จากนั้นหนังก็พามาพบกับพระเอกของเรื่อง เพอร์ซี่ แจ็คสัน(รับบทโดย โลแกน เลอร์แมน เจ้าหนุ่มนักเล่นเกมส์หน้าอ่อนจากเรื่อง Gamer) ที่เปิดมาก็เดาได้เลยว่าลูกใคร เพราะฉากแรกพี่แกก็แก้ผ้าใส่บอกเซอร์ดำน้ำโชว์แล้ว เพอร์ซี่เด็กหนุ่มผู้ดำน้ำอึดเป็นเลิศ แต่เป็นโรคอ่านหนังสือไม่ได้(เป็นโรคฮิตโรคหนึ่งในอเมริกา ชื่อเป็นทางการคือ Dyslexia) และเป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งสาเหตุก็ไปตามดูกันเอาเองเน้อ ว่าทำไมเพอร์ซี่ถึงเป็นโรคพวกนี้
การเปิดเรื่องไปจนถึงช่วงก่อนที่เพอร์ซี่ แจ็คสันจะได้พบกับความจริงว่าเขาเป็นใคร กำลังเผชิญกับอะไรนั้น ผมชอบมากๆครับ ดำเนินเรื่องราวได้น่าติดตาม สำหรับผมการดำเนินเรื่องช่วงแรกนั้นไม่แพ้ Spider Man ภาคแรกเลยทีเดียว แต่พอมาช่วงการต้อนรับพระเอกเข้าสู่โลกใหม่ (เช่นตอนพอตเตอร์เริ่มเข้าฮอกส์วอร์ต พาร์คเกอร์เริ่มฝึกใช้ใยแมงมุม) ผมดูไปพร้อมกับคิดในใจว่า “ตาคริส โคลัมบัส เอาอีกแล้วแน่ๆ” เพราะหนังเริ่มดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วแบบไม่ปะติดปะต่อเลย ซึ่งผมขอเดาว่าฟอร์มเดียวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกแน่ๆ เดี๋ยวขับรถ เดี๋ยวเข้าค่าย เดี๋ยวไม่เก่ง เดี๋ยวเก่งเลย เดี๋ยวหนีออกจากค่าย เนื้อเรื่องสับสนงงงวยไปหมด
จากนั้นหนังก็เข้าสู่องค์ที่สอง ก็คือช่วง The Lord of the Rings โดยเพอร์ซี่และผองเพื่อนรับบทเป็นโฟรโดกับแซมกลายๆ แต่เป็นการตามหาลูกแก้ววิเศษแทน ก็ไปเจอกับเมดูซ่า เจอกับสัตว์ประหลาดไฮดรา เจอกับเผ่ากินดอกบัว ก่อนที่จะเจอกับฮาเดส ราชานรก ซึ่งแต่ละส่วนแต่ละช่วงนั้น ก็สนุกเฉพาะในช่วงนั้นๆ แต่พอต่อไปอีกช่วง ที่เจอศัตรูตัวใหม่ก็เหมือนเริ่มใหม่หมดเลย ซึ่งคงโทษใครไม่ได้นอกจากผู้กำกับกับมือเขียนบท ที่ให้ความเคารพกับนิยายมากเกินไป จนน่าจะรักพี่เสียดายน้องจับยัดๆมาให้หมด ผลสุดท้ายหนังเลยสนุกไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควรช่วงไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้จับไม่ถูกเลยครับ สำหรับผมอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างฮาเดสกับเพอร์ซี่ แต่สำหรับผู้กำกับน่าจะอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างเพอร์ซี่กับผู้ขโมยสายฟ้าตัวจริง ซึ่งผมคิดว่าพาไปไม่ถึงจุดลุ้นระทึกอย่างที่ควรจะเป็นเท่าไร สรุปแล้วคริส โคลัมบัสไม่น่าจะเหมาะกับการกำกับหนังจากวรรณกรรม นิยายต่างๆที่เขาชื่นชอบครับ เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่ใจไม่เหี้ยมเลย ไม่กล้า ไม่อยากตัดนู่นตัดนี่ โดยไม่ดูองค์ประกอบของผลงานโดยรวมเท่าไร ซึ่งผลก็คือ เขาอาจจะนำโลกจากหนังสือ มาปรากฏในโลกภาพยนตร์ได้ครบถ้วน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือนิยายที่เขาหยิบมาทำ หนังของเขาจะดูไม่สนุกเท่าไร เพราะเหมือนกับดูสารคดีมากกว่า
Percy Jackson น่าจะประสบความสำเร็จในด้านรายรับในระดับหนึ่ง เพราะมีแฟนๆหนังสือติดตามมา รวมทั้งนิยายแฟนตาซีของอเมริกันพันธุ์แท้เช่นนี้มีน้อย ทำให้ชาวอเมริกันคงช่วยกันสนับสนุนกันพอสมควร แต่ผมเดาว่ารายได้คงไม่เกินหน้านาร์เนียร์แน่ๆ ยิ่งพอตเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
สำหรับดารานำแล้ว หนังเรื่องนี้เหมือนกับเปิดตัวดาราวัยรุ่นคนใหม่
Logan Lerman ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ในวงการฮอลลีวู้ดมาครบ 10 ปีแล้ว หนังของเจ้าหนุ่มนี่ที่ผมเคยดูก่อนหน้านี้ก็คือ The Patriot (2000) , The Number 23 (2007) และ Gamer (2009) โดยบทบาทในเรื่องนี้ก็ไม่ขี้เหร่เท่าไร แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าไรเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ หมอนี่ได้โชว์หล่อ โชว์หุ่นเต็มที่ครับ ซึ่งก็น่าจะเป็นบันไดสู่ก้าวต่อไปได้แน่นอน
สองนักแสดงวัยรุ่นฝ่ายชายในยุคนี้ก็คงคือเจ้าหนุ่ม Logan Lerman นี้ และอีกคนที่ทุกคนคงรู้จักกันดีก็คือ Freddie Highmore ซึ่งทั้งคู่โตไปคงหน้าตาไม่แตกต่างไปจากนี้เท่าไร ถ้าไม่เสียคนไปก่อนก็น่าจะยืนหยัดในวงการได้อีกนาน อย่าให้โตมาแล้วหน้าประหลาดเหมือนอย่าง Haley Joel Osmant (The Sixth Sense, A.I.) หรือ Mcculley Culkins (Home Alone) ก็แล้วกัน

Reccord Sound:นำเสนอโปรเจ็ค

คลิ๊กที่นี่

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

แบบโปรเจ็ค"ดาวเคราะห์แคระ"






















ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 9


หนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค:เผยความลับราชตระกูลตุตันคามุน

เมื่อปี 2005 การทำซีทีสแกนมัมมี่ของตุตันคามุนทำให้เราทราบว่า พระองค์หาได้สิ้นพระชนม์จากการถูกตีหรือถูกของแข็งกระแทกที่พระเศียรอย่างที่หลายคนเชื่อกัน ผลการวิเคราะห์ทำให้เราทราบว่า รูที่ด้านหลังกะโหลกพระเศียรเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำมัมมี่ นอกจากนี้ผลการศึกษายังชี้ว่า ฟาโรห์พระองค์นี้สิ้นพระชนม์ในวัยเพียง 19 พรรษา และอาจเกิดขึ้น ไม่นานหลังหลังจากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บจากพระเพลาข้างซ้ายหัก มาวันนี้ เราได้ศึกษามัมมี่ของพระองค์อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น จนค้นพบข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับพระประวัติ กำเนิดชาติสกุล และวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
การวิเคราะห์ดีเอ็นเอของตุตันคามุน รวมทั้งดีเอ็นเอของมัมมี่อื่นๆอีก 10 ร่างที่สันนิฐานว่าเป็นพระประยูรญาติใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 ในห้องปฏิบัติการล้ำสมัยซึ่งตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะสองแห่ง แห่งแรกที่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโรแห่งที่สองที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยไคโร
เรารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่ามัมมี่ 4 ร่างจากทั้งหมดเป็นใครบ้าง หนึ่งคือฟาโรห์ตุตันคามุนซึ่งพระศพยังอยู่ที่สุสานในหุบผากษัตริย์ ส่วนอีกสามร่างจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ ได้แก่ ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ยูยาและทูยู ผู้เป็นบิดาและมารดาของพระนางไทยี ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ในฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ส่วนมัมมี่ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นั้นประกอบด้วยชายที่พบในสุสานลึกลับแห่งหนึ่งในหุบผากษัตริย์ที่เรียกกันว่า เควี 55 (KV55) ทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดีและลายลักษณ์อักษรชี้ไปในทางที่ว่า มัมมี่ร่างนี้น่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตนหรือไม่ก็สเมงห์คาเรผู้ลึกลับ
ขณะที่การสืบหาพระมารดาของตุตันคามุน ทีมงานพุ่งเป้าไปที่มัมมี่หญิงนิรนาม 4 ร่าง สองร่างในจำนวนนี้ที่เรียกกันว่า “สตรีผู้สูงวัย” (Elder Lady) และ “หญิงสาวผู้อ่อนเยาว์” (Younger Lady) ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ส่วนอีกสองร่างเป็นมัมมี่เพศหญิงที่พบในสุสานขนาดเล็ก (เควี 21) ในหุบผากษัตริย์ และท้ายที่สุด เราจะพยายามสกัด ดีเอ็นเอจากซากทารกในครรภ์สองร่างที่พบในสุสานตุตันคามุน ซึ่งดูไม่น่ามีความหวังนัก เนื่องจากมัมมี่ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก แต่ถ้าทำสำเร็จ เราอาจค้นพบชิ้นส่วนที่ขาดหายของปริศนาแห่งราชวงศ์ที่ยาวนานถึงห้าชั่วคน
นักพันธุศาสตร์จะทำการสกัดเนื้อเยื่อจากหลายๆจุดทั่วร่างของมัมมี่ โดยมักเจาะลึกลงไปในกระดูก เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีการปนเปื้อนจากนักโบราณคดีรุ่นก่อนๆหรือนักบวชผู้ทำมัมมี่ หลังจากสกัดตัวอย่างเสร็จแล้ว ดีเอ็นเอจะถูกนำไปสกัดแยกสารประกอบที่ไม่พึงประสงค์ รวมทั้งขี้ผึ้งและยางไม้ที่นักบวชใช้ในการรักษาสภาพศพ
นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่า พระบิดาของตุตันคามุนน่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจตัดสเมงห์คาเรผู้ลึกลับทิ้งได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงพอ แต่กระนั้น น้ำหนักของหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และการเปรียบเทียบลำดับเวลาก็ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางฟาโรห์อเคนาเตนมากกว่า
การสืบหาความสัมพันธ์ทางสายพระโลหิตทำได้จากการแยกดีเอ็นเอของมัมมี่ ตามด้วยกระบวนการเปรียบเทียบโครโมโซมวายของอเมนโฮเทปที่สาม หรือมัมมี่เควี 55 กับตุตันคามุน เพื่อหาความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม (เพศชายที่มีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติจะมีรูปแบบดีเอ็นเอในโครโมโซมวายเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะจีโนม (กลุ่มยีน) ในเซลล์ของผู้ชายส่วนนี้ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากพ่อ) แต่หากต้องการระบุความสัมพันธ์ที่แม่นยำ ต้องอาศัยกระบวนการตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (genetic fingerprinting) ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ด้วยการเปรียบเทียบตำแหน่งความแปรผันของรูปแบบการเรียงตัวอักษรดีเอ็นเอ ได้แก่ตัว เอ, ที, จี และซี ที่รวมกันเป็นรหัสพันธุกรรมเพียงแปดตำแหน่ง ก็เพียงพอให้ทีมงานวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่มากกว่าร้อยละ 99.99 ว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สามเป็นพระบิดาของมัมมี่นิรนามที่พบในสุสานเควี 55 ซึ่งเป็นพระบิดาของตุตันคามุนอีกทอดหนึ่ง
แล้วใครคือพระมารดาของตุตันคามุนกันเล่า พวกเราประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่า ดีเอ็นเอของหญิงสาวผู้อ่อนเยาว์ (เควี 35 วายแอล) ที่พบเคียงข้างพระศพของพระนางไทยีในสุสานย่อยภายในสุสานของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม (เควี 35) ตรงกับของยุวกษัตริย์ ที่น่าประหลาดใจขึ้นไปอีกคือ ดีเอ็นเอของมัมมี่ดังกล่าวยังชี้ว่าพระนางเป็นพระธิดาในอเมนโฮเทปที่สามกับพระนางไทยี ผู้เป็นพระราชบุพการีของอเคนาเตนเช่นกัน นั่นหมายความว่าอเคนาเตนทรงมีพระโอรสกับพระภคินีร่วมสายพระโลหิต (พี่น้องแท้ๆ) และโอรสพระองค์นั้นก็คือตุตันคามุน
การค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า ทั้งพระมเหสีเนเฟอร์ตีติและพระชายาคิยาในฟาโรห์อเคนาเตน ไม่น่าจะเป็นพระมารดาของตุตันคามุน เพราะไม่มีหลักฐานจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า ทั้งสองพระองค์เป็นพระภคินีร่วมสายพระโลหิตกับอเคนาเตน แม้การสมสู่ร่วมสายโลหิต (incest) จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในหมู่สมาชิกราชวงศ์อียิปต์โบราณ แต่ผมเชื่อว่าในกรณีนี้ส่งผลต่อการสิ้นพระชนม์แต่วัยเยาว์ของพระโอรสผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งสองพระองค์

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 8


นิตยสารต่วย’ตูน รายเดือน หาซื้อได้ทุกแผงหนังสือทั่วประเทศ

โลดลิ่วสู่อนาคต เลี้ยวลดสู่อดีตกาล โชติช่วงชัชวาลด้วยคุณภาพสนใจโฆษณาภายในนิตยสารต่วยตูน ติดต่อโทร. 0-2965-0100, 0-2965-1511
นิตยสารต่วย’ตูนพิเศษ วางจำหน่าย ทุกต้นเดือน ราคา 80 บาทบรรณาธิการบริหาร วาทิน ปิ่นเฉลี่ยวบรรณาธิการ อุดร จารุรัตน์ (เยี่ยมชมเว็บไซต์ของบรรณาธิการที่
www.udorn.net)บรรณาธิการฝ่ายศิลป์ พลพันธ์ หัทยาฝ่ายกราฟิก สุนทรี วรารักษพงษ์ประสานงานกองบรรณาธิการ ประลองพล เพี้ยงบางยางฝ่ายสมาชิก ภัทยา บุญปั้น, เกตุแก้ว แทนเคน โทร.0-2514-4071-3 ต่อ 110ผู้จัดทำ บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด 559/3 มาริชเพลส ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310 โทร. 0-2514-4071-3 โทรสาร. 0-2514-4074 อีเมล p.vatin@gmail.comพิมพ์ที่ บริษัท พี.วาทิน พรินติ้ง จำกัดผู้พิมพ์โฆษณา นายดล ปิ่นเฉลี่ยว บริษัท พี.วาทิน พรินติ้ง จำกัด โทร. 0-2965-0100, 0-2965-1511 โทรสาร. 0-2965-1510ผู้จัดจำหน่าย เพ็ญบุญ ถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ โทร. 0-2615-8625-3นิตยสารต่วย’ตูน เปิดโอกาสสำหรับข้อเขียนต่างๆ อาทิเช่น เรื่องประหลาดไทย, เกร็ด, บันทึกอาถรรพณ์, อะไรก็ได้, ตำนานปิศาจพื้นบ้าน และประสบการณ์ปิศาจ ที่มีเนื้อหาและสาระสอดคล้องกับแนวของหนังสือ ด้วยความยาวประมาณ 3-4 หน้ากระดาษพิมพ์ พร้อมทั้งแนบไฟล์งานและรูปประกอบมาด้วย (ถ้ามี) ทุกเรื่องที่ได้รับการลงพิมพ์เผยแพร่ จะได้รับค่าตอบแทนตามความเหมาะสม เชิญทุกท่านขยับเมาส์เข้ามาคุยกันนะครับที่ http://raktuaytoon.pantown.com ส่งต้นฉบับไปที่... นิตยสารต่วยตูน บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด 559/3 มาริชเพลส ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310


วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 7


หนังสือดี : ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่มีแนวคิดและมีการค้นพบทฤษฎีต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกลับและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ และลบล้างความเชื่อเก่าๆ ลงโดยสิ้นเชิง การค้นพบของพระพุทธเจ้าเป็นการค้นพบทางนามธรรม ยากต่อการพิสูจน์ แต่การพบทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็น สสาร พลังงาน จักรวาล ปรมาณู การยืดหดของเวลา เป็นต้น ของไอน์สไตน์ กลับช่วยให้การค้นพบส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้รับกา รพิสูจน์และยืนยันทางคณิตศาสตร์อย่างไม่น่าเชื่อเนื้อหาของหนังสือแบ่งเป็น ๑๐ บท มีรายละเอียดอย่างคร่าวๆ ดังนี้บทที่ ๑ “ทำไมต้องไอน์สไตน์” ผู้เขียนปูพื้นฐานให้ผู้อ่านทราบประวัติชีวิตของไอน์ สไตน์ พร้อมทั้งทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านั้น ของนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ท่านจนมาถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพอันลือลั่นของไอน์สไตน์บทที่ ๒ “จักรวาลกับพุทธศาสนา” แม้พุทธศาสนาจะบอกไว้ว่า เรื่องความเร้นลับของจักรวาลเป็นเรื่องอจินไตยไม่ควร คิด แต่ความรู้ทางพุทธศาสนาก็ปรากฏเรื่องราวเหล่านี้อยู่ หลายแห่ง และตรงกับการค้นพบและการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์สมั ยใหม่เรื่อยมา ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องพิศวงว่าพระพุทธเจ้าทราบคว ามรู้เหล่านี้มาก่อนได้อย่างไรบทที่ ๓ “ทฤษฎีสัมพัทธภาพ” ทฤษฎีอันลือลั่นของไอน์สไตน์ ที่ขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง เช่น เรื่องความเร็วของแสงที่คงที่เสมอ และไม่มีสิ่งใดไล่ทันความเร็วของแสงนี้ได้ แต่แสงก็ตกอยู่ภายใต้กฏของแรงโน้มถ่วง ดังนั้นจึงเดินทางเป็นเส้นโค้งได้ ตามแรงโน้มถ่วงของดวงดาว หรือไอน์สไตน์พิสูจน์ให้เห็นว่า เวลาสามารถยืดหด และเดินช้า เดินเร็วได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่แต่ละแห่ง เช่นเวลาของคนที่อยู่บนยานในอวกาศที่เดินทางด้วยความ เร็วสูงจะเดินช้ากว่าเวลาของคนอาศัยอยู่บนโลกบทที่ ๔ “อนัตตาภายในอะตอม” นอกจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์แล้วยังมีทฤษฎีควอ นตัมซึ่งทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายส่วนที่เล็กที่สุดที่บรรจ ุอยู่ภายในอะตอม อันเป็นการช่วยยืนยันว่า ไม่มีสิ่งใดคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงเสมอบทที่ ๕ “พุทธกับวิทยาศาสตร์” วิทยาศาสตร์เน้นในเรื่องของเหตุผล หลังจากการพิสูจน์ข้อเท็จจริงหลายๆ อย่าง พบว่าตรงกับความรู้และคำสอนทาง================================================== =========ไม่ได้คลั่งศาสนา แล้วยกว่าพระพุทธเจ้าเหนือ อะไรนะครับ แต่แค่บอกว่ามันน่าสนใจมากครับ สมควรที่คนพุทธหลายคนควรอ่านมาก เพราะพุทธศาสนามีความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวอยู่แล ้ว แค่บอกว่า "ความจริงเป็นยังไง เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถิด".............................................อยากให้บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่ก่อม็อบเลิกได้แล้วครับ แค่ให้ศาสนาอยู่ในแผ่นกระดาษต้องอุตส่าห์มาร้อนหนาว และออกนอกแก่นแท้ของพุทธที่ไม่ยึดติดกับตัวตนเชียวหร ือครับ .... เอาเวลาไปศึกษาธรรมะแล้วเผยแผ่พุทธศาสนาที่ตอนนี้มั่ วไปหมดปนกับพราหณ์ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ - -' ....พูดตามตรง ตอนนี้หนังสือธรรมะบางเล่มที่คนธรรมดาแต่ง อ่านแล้วยังมีคุณค่ามากกว่าฟังพระท่านเทศน์อีกนะครับ พระบางองค์กล่าวเรื่องทำบุณมากได้มาก ทำน้อยได้น้อยซึ่งไม่จริงทั้งสิ้นครับ แต่เพราะงี้ไงครับ ชาวบ้านถึงงมงายเอาแต่ทำบุญ แค่ตัวเองเอาไปเลี้ยงยังไม่มีปัญญาเลย - -'' แถมยังเอาตังไปซื้อพระเครื่อง หวังรวยโชคลาภ ...ไม่จริงทั้งสิ้นครับถ้าคนเหมือนต้นไม้ ถ้าขาดทั้งพรวนดิน ทั้งปุ๋ยและน้ำ ก็ไม่มีวันโตเป็นต้นใหญ่ที่งอกงามไดด้หรอกครับจะทำบุญอย่างเดียวไม่ทำมาหากิน(รดน้ำอย่างเดียวไม่พร วนดิน) จะไปรอดได้อย่างไร จริงไหม เขียนบทความโดยคุณ Shuu คุง