นายไชยเวช สันที ปม.4/1(ค้าง)

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 9


หนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค:เผยความลับราชตระกูลตุตันคามุน

เมื่อปี 2005 การทำซีทีสแกนมัมมี่ของตุตันคามุนทำให้เราทราบว่า พระองค์หาได้สิ้นพระชนม์จากการถูกตีหรือถูกของแข็งกระแทกที่พระเศียรอย่างที่หลายคนเชื่อกัน ผลการวิเคราะห์ทำให้เราทราบว่า รูที่ด้านหลังกะโหลกพระเศียรเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำมัมมี่ นอกจากนี้ผลการศึกษายังชี้ว่า ฟาโรห์พระองค์นี้สิ้นพระชนม์ในวัยเพียง 19 พรรษา และอาจเกิดขึ้น ไม่นานหลังหลังจากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บจากพระเพลาข้างซ้ายหัก มาวันนี้ เราได้ศึกษามัมมี่ของพระองค์อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น จนค้นพบข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับพระประวัติ กำเนิดชาติสกุล และวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
การวิเคราะห์ดีเอ็นเอของตุตันคามุน รวมทั้งดีเอ็นเอของมัมมี่อื่นๆอีก 10 ร่างที่สันนิฐานว่าเป็นพระประยูรญาติใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 ในห้องปฏิบัติการล้ำสมัยซึ่งตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะสองแห่ง แห่งแรกที่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโรแห่งที่สองที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยไคโร
เรารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่ามัมมี่ 4 ร่างจากทั้งหมดเป็นใครบ้าง หนึ่งคือฟาโรห์ตุตันคามุนซึ่งพระศพยังอยู่ที่สุสานในหุบผากษัตริย์ ส่วนอีกสามร่างจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ ได้แก่ ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ยูยาและทูยู ผู้เป็นบิดาและมารดาของพระนางไทยี ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ในฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม ส่วนมัมมี่ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นั้นประกอบด้วยชายที่พบในสุสานลึกลับแห่งหนึ่งในหุบผากษัตริย์ที่เรียกกันว่า เควี 55 (KV55) ทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดีและลายลักษณ์อักษรชี้ไปในทางที่ว่า มัมมี่ร่างนี้น่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตนหรือไม่ก็สเมงห์คาเรผู้ลึกลับ
ขณะที่การสืบหาพระมารดาของตุตันคามุน ทีมงานพุ่งเป้าไปที่มัมมี่หญิงนิรนาม 4 ร่าง สองร่างในจำนวนนี้ที่เรียกกันว่า “สตรีผู้สูงวัย” (Elder Lady) และ “หญิงสาวผู้อ่อนเยาว์” (Younger Lady) ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ส่วนอีกสองร่างเป็นมัมมี่เพศหญิงที่พบในสุสานขนาดเล็ก (เควี 21) ในหุบผากษัตริย์ และท้ายที่สุด เราจะพยายามสกัด ดีเอ็นเอจากซากทารกในครรภ์สองร่างที่พบในสุสานตุตันคามุน ซึ่งดูไม่น่ามีความหวังนัก เนื่องจากมัมมี่ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก แต่ถ้าทำสำเร็จ เราอาจค้นพบชิ้นส่วนที่ขาดหายของปริศนาแห่งราชวงศ์ที่ยาวนานถึงห้าชั่วคน
นักพันธุศาสตร์จะทำการสกัดเนื้อเยื่อจากหลายๆจุดทั่วร่างของมัมมี่ โดยมักเจาะลึกลงไปในกระดูก เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีการปนเปื้อนจากนักโบราณคดีรุ่นก่อนๆหรือนักบวชผู้ทำมัมมี่ หลังจากสกัดตัวอย่างเสร็จแล้ว ดีเอ็นเอจะถูกนำไปสกัดแยกสารประกอบที่ไม่พึงประสงค์ รวมทั้งขี้ผึ้งและยางไม้ที่นักบวชใช้ในการรักษาสภาพศพ
นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่า พระบิดาของตุตันคามุนน่าจะเป็นฟาโรห์อเคนาเตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจตัดสเมงห์คาเรผู้ลึกลับทิ้งได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงพอ แต่กระนั้น น้ำหนักของหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และการเปรียบเทียบลำดับเวลาก็ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางฟาโรห์อเคนาเตนมากกว่า
การสืบหาความสัมพันธ์ทางสายพระโลหิตทำได้จากการแยกดีเอ็นเอของมัมมี่ ตามด้วยกระบวนการเปรียบเทียบโครโมโซมวายของอเมนโฮเทปที่สาม หรือมัมมี่เควี 55 กับตุตันคามุน เพื่อหาความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม (เพศชายที่มีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติจะมีรูปแบบดีเอ็นเอในโครโมโซมวายเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะจีโนม (กลุ่มยีน) ในเซลล์ของผู้ชายส่วนนี้ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากพ่อ) แต่หากต้องการระบุความสัมพันธ์ที่แม่นยำ ต้องอาศัยกระบวนการตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (genetic fingerprinting) ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ด้วยการเปรียบเทียบตำแหน่งความแปรผันของรูปแบบการเรียงตัวอักษรดีเอ็นเอ ได้แก่ตัว เอ, ที, จี และซี ที่รวมกันเป็นรหัสพันธุกรรมเพียงแปดตำแหน่ง ก็เพียงพอให้ทีมงานวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่มากกว่าร้อยละ 99.99 ว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สามเป็นพระบิดาของมัมมี่นิรนามที่พบในสุสานเควี 55 ซึ่งเป็นพระบิดาของตุตันคามุนอีกทอดหนึ่ง
แล้วใครคือพระมารดาของตุตันคามุนกันเล่า พวกเราประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่า ดีเอ็นเอของหญิงสาวผู้อ่อนเยาว์ (เควี 35 วายแอล) ที่พบเคียงข้างพระศพของพระนางไทยีในสุสานย่อยภายในสุสานของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่สาม (เควี 35) ตรงกับของยุวกษัตริย์ ที่น่าประหลาดใจขึ้นไปอีกคือ ดีเอ็นเอของมัมมี่ดังกล่าวยังชี้ว่าพระนางเป็นพระธิดาในอเมนโฮเทปที่สามกับพระนางไทยี ผู้เป็นพระราชบุพการีของอเคนาเตนเช่นกัน นั่นหมายความว่าอเคนาเตนทรงมีพระโอรสกับพระภคินีร่วมสายพระโลหิต (พี่น้องแท้ๆ) และโอรสพระองค์นั้นก็คือตุตันคามุน
การค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า ทั้งพระมเหสีเนเฟอร์ตีติและพระชายาคิยาในฟาโรห์อเคนาเตน ไม่น่าจะเป็นพระมารดาของตุตันคามุน เพราะไม่มีหลักฐานจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า ทั้งสองพระองค์เป็นพระภคินีร่วมสายพระโลหิตกับอเคนาเตน แม้การสมสู่ร่วมสายโลหิต (incest) จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในหมู่สมาชิกราชวงศ์อียิปต์โบราณ แต่ผมเชื่อว่าในกรณีนี้ส่งผลต่อการสิ้นพระชนม์แต่วัยเยาว์ของพระโอรสผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งสองพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น