นายไชยเวช สันที ปม.4/1(ค้าง)

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 3


วิกฤติโลกร้อนในจีน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น หิมะตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายปีที่แล้ว และส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่นับวันปรากฏการณ์โลกร้อนก็ยิ่งปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายมณฑลทางใต้ของประเทศจีนต้องเผชิญกับพายุฝนถล่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายปี และเกิดดินโคลนถล่ม ถนนถูกตัดขาด บ้านเรือนพังเสียหาย ประชาชนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย จนถึงตอนนี้มีผู้ประสบภัยใน 11 มณฑล (รวมเขตปกครองตนเองและมหานคร) จำนวนกว่า 40 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน หายสาบสูญเฉียด 200 คน บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 300,000 หลังคาเรือน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรงประมาณ 64,570 ล้านหยวน โดยมีมณฑลฝูเจี้ยน กวางซี หูหนาน เจียงซี กุ้ยโจว ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมและสร้างความเสียหายอย่างมากในครั้งนี้ คือ ประการแรก เพราะฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้น้อยมาก ปริมาณน้ำฝนในหลายอำเภอทางลุ่มแม่น้ำหมิ่นเจียงในมณฑลฝูเจี้ยนมีปริมาณมากกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีถึง 2.2 เท่า ทำสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์ประการที่สอง ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก แม่น้ำสายหลักและสายรองในมณฑลฝูเจี้ยน เจียงซี หูหนาน มีปริมาณน้ำเกินกว่าระดับที่รองรับได้และเกินกว่าสถิติที่บันทึกไว้ประการที่สาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถือได้ว่าหนักมาก ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า มีบ้านเรือนพังเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ทางภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2548 - 2552 ในช่วงเวลาเดียวกัน ประการที่สี่ เพราะเกิดภัยพิบัติเป็นบริเวณกว้างและรุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนจำนวนมากอย่างกว้างขวาง ปริมาณน้ำฝนที่มากก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและอ่างเก็บน้ำแตก ทำให้บ้านเรือนประชาชน อาคารบริษัทต่างๆ และถนนหนทางจมอยู่ใต้น้ำเพื่อบรรเทาภัยพิบัติจากเหตุน้ำท่วมเนื่องจากพายุฝนถล่ม กระทรวงการคลังและกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนร่วมกันอนุมัติงบประมาณ 377 ล้านหยวน โดยงบประมาณส่วนใหญ่จะใช้ในการอพยพและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยให้กับผู้ประสบภัยในมณฑลฝูเจี้ยน เจ้อเจียง เจียงซี และหูหนาน และทั้งสองกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 867 ล้านหยวนให้กับพื้นฟที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้ง 8 มณฑลทางใต้ของจีน และพื้นที่เขตปกครองตนเองที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าวในขณะเดียวกัน ประชาชนชาวจีนก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ เมื่ออุณหภูมิภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกที่ขณะนี้หลายๆเมือง อุณหภูมิทะลุผ่าน 35 องศาเซลเซียสไปแล้วแค่เพียงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิในกรุงปักกิ่งพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 60 ปี ตามสถิติก่อนหน้านี้ อุณหภูมิเดือนกรกฎาคมในกรุงปักกิ่งเคยสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ.2542 วัดได้ 41.9 องศาเซลเซียส ครั้งที่สองในปี พ.ศ.2545 วัดได้ 41.1 องศาเซลเซียส มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า ปีนี้อุณหภูมิอาจพุ่งเกิน 55 องศาเซลเซียสได้ความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลต้องรับผู้ที่ป่วยจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นมากกว่าช่วงเวลาปกติถึง 3 เท่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนแล้ว 2 รายในกรุงปักกิ่งและเมืองเซินเจิ้นในแต่ละเมืองต่างก็พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยคลายร้อน ยกตัวอย่างการบริการขนส่งสาธารณะในกรุงปักกิ่ง เพื่อสร้างความสบายให้กับผู้ใช้บริการรถประจำทาง บริษัทรถประจำทางในกรุงปักกิ่งสั่งให้รถประจำทางปรับอากาศเปิดแอร์ไว้ตลอด ส่วนรถที่ไม่มีแอร์ก็ให้รักษาความสะอาดเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ในขณะเดียวกันบริษัทที่ให้บริการรถไฟใต้ดินได้มีนโยบายให้รถไฟทุกขบวนเปิดแอร์ก่อนที่จะเริ่มให้บริการ 20 นาที เพื่อให้ความเย็นในแต่ละตู้คงไว้ตลอด เป็นต้นส่วนในมณฑลเจ้อเจียง ได้สั่งให้บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงาน รวมถึงบริษัทผู้ผลิตกระดาษและหลอมเหล็กมากกว่า 1,000 บริษัท ยุติหรือลดการผลิตชั่วคราวเป็นเวลา 15 วัน เพื่อเพิ่มการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนกรมอุตุนิยมวิทยาของจีน เผยว่า หลังจากนี้พื้นที่ตอนบนและตอนล่างจะมีสภาพอากาศสลับกัน ทางเหนือจะมีพายุฝน ทำให้อุณหภูมิลดลง ส่วนทางใต้ฝนจะตกน้อยลง แต่อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้พื้นที่อันกว้างใหญ่ของประเทศจีนจะทำให้บริเวณตอนบนและตอนล่างของประเทศต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภัยธรรมชาติที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่เป็นผลจากการที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น และเราก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกว่าสาเหตุที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น มนุษย์เราไม่ได้มีส่วนสร้างให้เกิดสภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น